การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา (Tear trough Filler)

1.  ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาคืออะไร ?

        การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา คือ การฉีดสารเติมเต็มฟิลเลอร์ในกลุ่มไฮยาลูรอนิค แอซิด (HA : Hyaluronic Acid)เข้าไปใต้ผิวบริเวณใต้ตาที่มีปัญหา เช่น ขอบตาหมองคล้ำ ริ้วรอยใต้ตา ร่องใต้ตา
        เบ้าตาลึก ถุงใต้ตา ทำให้ใบหบ้าดูโทรม อ่อนล้า ดูแก่กว่าวัย และสร้างความไม่มั่นใจ
        การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา สามารถช่วยเติมเต็มในส่วนที่มีการยุบตัวของกระดูก ช่วยพยุงเอ็นยึดใต้ตาให้กลับไปสู่ที่เดิม แก้ไขริ้วรอยใต้ตาและสีหมองคล้ำ ให้กลับมาเต่งตึงอีกครั้ง
        ในฟิลเลอร์จะมีคุณสมบัติเพิ่มความชุ่นชื้นให้กับผิว และยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวบริเวณที่ฉีดอีกด้วยค่ะ

2.   สาเหตุของรอยหมองคล้ำใต้ตา ?

(2.1). ขอบตาดำจากโรคภูมิแพ้ (Allergic Shiner) = 
       โดยหลัก ๆ แล้วมักจะเกิดจากภูมิแพ้จมูกอักเสบ หรือภูมิแพ้ตา ผู้ป่วยภูมิแพ้จมูกอักเสบมักจะมีอาการน้ำมูกไหล คัดจมูก คันจมูก และจาม ผู้ป่วยที่มีอาการคัดจมูกเรื้อรัง เยื่อบุจมูกมักจะบวม การบวมจะทำให้เลือดดำไหลผ่านได้ยาก เลือดดำจึงคั่งอยู่บริเวณใต้ตาล่างทำให้ผิวบริเวณใต้ตาล่างดำนั่นเอง ส่วนผู้ป่วยภูมิแพ้ตา จะมีอาการคันตา เคืองตา อาการเหล่านี้ทำให้เผลอขยี้ตาแรง ๆ ส่งผลให้ผิวหนังรอบดวงตาดำคล้ำ หรือมีรอยเหี่ยวย่นเกิดขึ้น 

(2.2).พักผ่อนไม่เพียงพอ =
       การอดนอน หรือ พักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้เส้นเลือดรอบดวงตาไหลเวียนไม่สะดวก ทำให้เกิดการขยายตัวของเส้นเลือดดำ จึงเห็นเป็นรอยคล้ำใต้ตา

       วิธีแก้ไข จัดการกับความเครียด เนื่องจากความเครียดอาจส่งผลให้มีปัญหาในการนอน และควรจัดหมอนหนุนรองนอนให้สูงขึ้น เพื่อช่วยลดปริมาณของเหลวที่สะสมอยู่บริเวณใต้ตา

(2.3). การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ = 
       บุหรี่ทำให้ขอบตาคล้ำยิ่งขึ้น และการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาจทำให้เส้นเลือดใต้ผิวหนังขยายตัวจนเห็นเป็นรอยคล้ำใต้ดวงตา

(2.4). กรรมพันธุ์ =
       หากคุณพ่อคุณแม่ญาติพี่น้องหรือบรรพบุรุษมีขอบตาที่ดำ ก็มีโอกาสที่จะมีขอบตาดำมากกว่าคนปกติเท่านั้น นอกจากนั้นหาก มีสีผิวที่ขาว จะยิ่งทำให้เห็นได้ชัดถึงความคล้ำมากกว่าคนผิวเหลือง น้ำตาล หรือดำ

(2.5).  อายุที่เพิ่มมากขึ้น = 
ขั้นตอนการเกิดของรอยหมองคล้ำใต้ตา ร่องใต้ตา ถุงใต้ตา
       1.ผิวหนังบางลง (Skin thining) : บริเวณรอบดวงตาจะไม่มีไขมันชั้นตื้น (Subcutaneous fat) เมื่ออายุมากขึ้น ผิวหนังรอบดวงตาบางลง ดังนั้นเวลาที่เราเห็นรอยคล้ำใต้ตา เกิดเนื่องจากสีของกล้ามเนื้อ

       2.คอลลาเจนถูกสร้างลดลง(Collagen degeneration) : เกิดเป็นริ้วรอยใต้ตา(Wrinkle)ได้ง่าย

       3.Tear trough ligament laxity : กระดูกเบ้าตายุบตัว จึงทำให้เอ็นยึดใต้ตาหย่อนตาม ส่วนพวกกล้ามเนื้อและไขมันชั้นลึกจะไม่มีที่ยึดเกาะ จึงทำให้ทุกอย่างทรุดตัวลงเกิดเป็นร่องใต้ตา

       4.Tear trough ligament (Zygomaticocutaneous ligament laxity) : เอ็นยึดใต้ตาหย่อนตัวลง ก็จะมีไขมันบางส่วนเปลี่ยนตำแหน่งไป เกิดการสะสมและยื่นลงมากลายเป็นลักษณะถุงใต้ตา

3.  วิธีแก้ปัญหารอยหมองคล้ำใต้ตา ร่องใต้ตา ด้วยการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ?

เวลาจะตัดสินใจว่าจะแก้ไขด้วยการฉีดฟิลเลอร์ควรจะต้องทำ
         (3.1).Skin pick test : การหยิบผิวหนังใต้ตาขึ้นมา แล้วจะมีความสว่างมากขึ้น แสดงว่า รักษาด้วยฟิลเลอร์ได้

         (3.2).Skin snap back test : การหยิบผิวหนังใต้ตา หรือถุงใต้ตา แล้วดู skin record ช้าหรือเร็ว ถ้าเร็วแสดงว่า collagen สามารถพยุงตัวฟิลเลอร์ได้ดี ก็จะเหมาะกับการรักษาด้วยฟิลเลอร์

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา สามารถช่วยเติมเต็มในส่วนที่มีการยุบตัวของกระดูก ช่วยพยุงเอ็นยึดใต้ตาให้กลับไปสู่ที่เดิม แก้ไขริ้วรอยใต้ตาและสีหมองคล้ำ ให้กลับมาเต่งตึงอีกครั้ง

         วิธีคือ ให้ใช้ฝ่ามือประทับลงไปบนใบหน้าทั้งหมด 3 ส่วน ประกอบด้วย Upper Face ส่วนด้านบน เป็นการวัดสัดส่วนตั้งแต่ไรผมถึงหัวคิ้ว, Middle Face ส่วนตรงกลาง วัดตั้งแต่คิ้วจนถึงปลายจมูก และ Lower Face ส่วนด้านล่าง วัดตั้งแต่ปลายจมูกถึงปลายคาง โดยแต่ละส่วนของใบหน้าที่ฝ่ามือวางลงไปต้องมีขนาดพอดี ไม่ใหญ่หรือเล็กจนเกินไป จึงจะนับเป็น Golden Ratio 1:1:1 ที่ถูกต้อง หากใครที่วัดไปแล้วคางสั้นหรือยาวกว่าฝ่ามือ ก็ต้องทำการฉีด ฟิลเลอร์คาง เพื่อปรับรูปหน้าให้สมส่วน


4.  ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาเหมาะกับใคร  ?

(4.1). คนที่มีปัญหารอยคล้ำใต้ตาที่เป็นสาเหตุทำให้ใบหน้าดูไม่สดใส เหมือนคนพักผ่อนน้อย
(4.2). คนที่มีปัญหาริ้วรอยใต้ตา ร่องใต้ตา หลังจากทำการรักษาจะทำให้ผิวบริเวณนั้นอิ่มฟู ร่องใต้ตาเรียบเนียน
(4.3). คนที่มีปัญหาถุงใต้ตาเกิดจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น กระดูกยุบตัว เอ็นยึดใต้ตาหย่อน ฟิลเลอร์จะไปเติมเต็มในส่วนที่ขาดหายไปและช่วยชะลอความชราในอนาคตได้ ทำให้ถุงใต้ตาเรียบเนียน ดูอ่อนเยาว์
(4.4). เหมาะกับคนที่กลัวการผ่าตัดถุงใต้ตา แพ้การดมยาสลบ ไม่มีเวลาพักฟื้น
(4.5). คนที่อยากเห็นผลลัพธ์ทันทีหลังทำ

5.  ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา แก้ปัญหาอะไรได้บ้าง ?

(5.1).แก้ปัญหาขอบตาดำ ใต้ตาคล้ำ
(5.2).แก้ปัญหาร่องใต้ตา เบ้าตาลึก
(5.3).ลดริ้วรอยใต้ตา
(5.4).แก้ปัญหาถุงใต้ตาหย่อนคล้อย

6.  ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาใช้กี่ CC และทำไมแต่ละคนถึงฉีดไม่เหมือนกัน ?

โดยทางเราจะมีประเมินและวิเคราะห์ต้นสาเหตุของปัญหา และทำการแก้ไขจุดบกพร่องเพื่อผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด และได้สัดส่วนของใบหน้าที่ดูสวยขึ้น

(6.1).สีคล้ำใต้ตา / ร่องใต้ตา : ใช้ประมาณ 1-2 CC
         โดยเลือกฟิลเลอร์นิ่มใช้เป็นการเติมฟิลเลอร์ใต้ตาชั้นตื้น จะเก็บรายละเอียดสีคล้ำใต้ตา ร่องและริ้วรอยตื้นๆ บริเวณผิวหนังใต้ตาที่เกิดจากการขาดคอลลาเจน

(6.2).ถุงใต้ตา : เริ่มต้นที่ 3 CC ขึ้นอยู่กับระดับของถุงใต้ตา
         โดยเลือกฟิลเลอร์เนื้อแข็งใช้เป็นการเติมฟิลเลอร์ชั้นลึก ซึ่งจะต้องมีความยืดหยุ่นสูง เพื่อไปsupportชั้นกระดูกและเอ็นยึดรอบดวงตาให้ยกกระชับขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้จะทำให้เอ็นที่หย่อนคล้อยมีแรงพยุงไขมันใต้ตาได้ดีขึ้น ส่งผลให้ถุงใต้ตาลดลง ไม่หย่อนเหมือนเดิม

7.  ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาบวมกี่วัน ?

        จะมีอาการบวมเล็กน้อย ประมาณ 2-3 วันหลังการรักษา และจะค่อย ๆ ยุบหายไปเอง โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 1-2 อาทิตย์ถึงจะเข้าที่ ระหว่างเดียวกัน หมอไม่แนะนำให้รับประทานอาหารหมักดอง เพราะมีโซเดียมผสมอยู่เป็นจำนวนมาก หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภท เพื่อลดความเสี่ยงในเรื่องของอาการบวม หลังจากนั้นหมอจะนัดมาดูผลอีกครั้ง


8.  ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากี่วันเห็นผล ?

         การเติมฟิลเลอร์ใต้ตาจะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงทันทีหลังจากที่ฉีดเสร็จ หลังจากนั้นฟิลเลอร์ก็จะค่อยๆเข้าที่ในวันที่ 3 และเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้นใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์

9. ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอยู่ได้นานแค่ไหน ?

         ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้รุ่น และยี่ห้อของฟิลเลอร์ โดยทั่วไปจะอยู่ได้นาน 12-18 เดือน และขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ พยายามหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้ฟิลเลอร์สลายไวขึ้น

10. การปฏิบัติตัวก่อนและหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ?

ข้อปฏิบัติตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์และก่อนร้อยไหม (1 อาทิตย์ก่อนทำ ) =>

1. ควรงดยา แอสไพริน , NSAIDs เช่น Ibuprofen , Diclofenac , Ponstan เป็นเวลา 1 อาทิตย์ก่อนทำหัตถการ และควรปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะหยุดยานั้นๆ

2. ควรงดวิตามิน St.John Wort , Ginko biloba , Primrose oil , Garlic , Ginseng , and Vitamin E เป็นเวลา 1 อาทิตย์ก่อนทำหัตถการ

3. ควรงดยาทาชนิดผลัดเซลล์ผิว เช่น ยาประเภทอนุพันธ์วิตามินเอ , Retinols , Retinoids , Glycolic Acid , หรือครีมในกลุ่ม “ Anti-Aging ” ทุกชนิด เป็นเวลา 3 วันก่อนทำ

4. ควรงดการแว็ก ผลักเซลล์ผิว การดึงขนหรือโกนขนบริเวณนั้นๆ เป็นเวลา 3 วันก่อนทำหัตถการ

5. หากมีคอร์สทำหน้านวดหน้าหรือเลเซอร์ต่างๆ ควรทำมาก่อนอย่างน้อย 3 วัน ก่อนฉีดฟิลเลอร์หรือร้อยไหม เพราะหลังทำต้องเว้นไปอีก 2 อาทิตย์

6.หากมีโรคประจำตัว หรือยาที่กินเป็นประจำอื่นๆ ควรเตรียมข้อมูลไว้เพื่อแจ้งกับแพทย์ก่อนที่จะทำหัตถการ

ข้อปฏิบัติตัวหลังฉีดฟิลเลอร์ =>

1. งดเลเซอร์ อบซาวหน้า นวดหน้าลงความร้อนบริเวณหน้าอย่างน้อย 1 เดือน

2. งดทานยาหรือวิตามินที่ทำให้เลือดออกมากขึ้น เช่น แอสไพริน , วิตามินอี , ใบแป๊ะก๊วย ในช่วง 1 สัปดาห์แรก

3. งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เหล้า เบียร์ บุหรี่ อย่างน้อย 2 สัปดาห์

4. หลีกเลี่ยงความร้อนต่างๆบริเวณใบหน้า เช่น การเป่าผม และ การล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น

5. ดื่มน้ำเยอะๆขั้นต่ำ 2-3 ลิตร ต่อวัน เนื่องจากฟิลเลอร์จะฟูขึ้น ทำให้อยู่ได้นาน

6. ไม่ควรกดนวดคลึงลูบคลำ หรือปั้นเอง บริเวณตำแหน่งที่มีการฉีดฟิลเลอร์ เพื่อลดการเคลื่อนย้ายของตัวยาไปตำแหน่งที่ไม่ต้องการ

7. สามารถแต่งหน้าได้ตามปกติในวันรุ่นขึ้นหลังฉีดฟิลเลอร์