10 คำถามฮิต ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ที่ควรอ่านก่อนไปฉีด

ฟิลเลอร์ใต้ตาเป็นหนึ่งในหัตถการยอดนิยมที่ช่วยให้ดวงตาดูสดใส ลดความหมองคล้ำ และเติมเต็มร่องลึกให้หน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้น แต่ก่อนตัดสินใจไปฉีด ควรรู้ข้อมูลพื้นฐานให้ครบ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยและปลอดภัย บทความนี้รวม 10 คำถามฮิตที่หลายคนสงสัย ตั้งแต่ข้อดี ข้อควรระวัง ไปจนถึงการดูแลตัวเองหลังฉีด ใช้เวลาอ่านไม่นานก็เข้าใจครบ เหมาะสำหรับคนที่กำลังหาข้อมูลฟิลเลอร์ใต้ตาแบบสั้น กระชับ และได้สาระครบถ้วน

คำถามฮิต ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา คือบริเวณใด

ก่อนจะไปในข้ออื่น ๆ อย่างแรกเลยที่ควรรู้คือ บริเวณที่จะฉีดฟิลเลอร์ใต้ตานั้นเอง โดยแพทย์จะทำการรักษาโดยการฉีดสารเติมเต็มประเภท ไฮยาลูรอนิค แอซิด (Hyaluronic Acid) เข้าตรงบริเวณใต้ตาด้านนอก เป็นส่วนที่อยู่ถัดออกมาจากร่องน้ำตาไปยังด้านข้างของใบหน้า ที่จะมีลักษณะเป็นรอยบุ๋มลึก หรือเป็นแอ่ง ส่งผลให้โครงสร้างใต้ตาดูไม่สมบูรณ์ และฉีดเข้าตรงบริเวณร่องน้ำตา เป็นส่วนที่บุ๋มลึกเป็นแนวยาวตั้งแต่หัวตาลงมาถึงบริเวณใต้ตา ทำให้เกิดเงา และทำให้ดูเหมือนมีถุงใต้ตา รวมถึงใต้ตาคล้ำ

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ช่วยเรื่องอะไร

ถัดมาก็คงหนีไม่พ้นว่า เราจะไปฉีดทำไม Under eye fillerช่วยเรื่องอะไร แน่นอนว่าฟิลเลอร์จะมีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำได้ดี และทำหน้าที่เปรียบเสมือนโครงสร้างใต้ผิวหนัง ดังนั้นการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจึงช่วยแก้ปัญหาเรื่องริ้วรอย และรอยร่องลึกใต้ตา ที่อาจมีสาเหตุมาจากการยุบตัวของกระดูกใต้ตา และไขมันใต้ตา ทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้า และดูไม่สดใส นอกจากนี้ยังช่วยลดความหมองคล้ำใต้ตา ทำให้ใบหน้าดูสดใส ดูไม่โทรม และใบหน้าดูอ่อนเยาว์ ช่วยลดถุงใต้ตา ที่เกิดจากไขมันใต้ตามีการเคลื่อนตัวลงมา ทำให้เกิดเป็นถุงนูนขึ้นมา และเกิดร่องลึกด้านล่าง การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะช่วยเติมเต็ม ทำให้ถุงใต้ตาดูตื้นขึ้น และทำให้ดูกลมกลืนเข้ากับผิวหน้ามากขึ้น รวมถึงช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับเบ้าตาลึก ตาโหล ที่มีสาเหตุจากการยุบตัวของกระดูกเบ้าตา ฟิลเลอร์จะทำให้เบ้าตาดูตื้นขึ้น หรือตาดูไม่ลึกโหล

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ใช้กี่ cc

โดยปกติการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ปริมาณการใช้จะอยู่ประมาณ 2 – 4 CC ต่อทั้งสองข้าง แต่ปริมาณที่ใช้อาจมีการเปลี่ยนแปลงมากน้อยขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ระดับความรุนแรงของปัญหา ปัญหาที่ต้องการแก้ไข บริเวณที่ทำการฉีด และยี่ห้อฟิลเลอร์ที่ใช้

ยกตัวอย่าง ต้องการแก้ไขปัญหาใต้ตาคล้ำ ปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้จะอยู่ที่ 1 – 2 CC ต่อทั้งสองข้าง หรือ ปัญหาใต้ตาลึก ใต้ตาโหล ที่มีสาเหตุมาจากกระดูกเบ้าตาเกิดการยุบตัวลง ปริมาณนี้ฟิลเลอร์ที่ใช้จะอยู่ที่ 2 CC ต่อข้าง เป็นต้น

ข้อดี – ข้อเสีย ของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา

อย่างที่ทราบการฉีดฟิลเลอร์ เป็นการฉีดสารเติมเต็มเข้าตรงบริเวณใต้ตา โดยบริเวณนี้เป็นจุดที่มีเส้นเลือดจำนวนมาก จึงจำเป็นต้องอาศัยเทคนิค และประสบการณ์ของแพทย์ ด้วยสาเหตุเหล่านี้ทำให้หลายคนเกิดความกังวล และยากต่อการตัดสินใจ แต่ด้วยในสมัยนี้แพทย์อาจจะใช้ Ultrasound AI เข้ามาช่วยลดความเสี่ยงเพิ่มความปลอดภัย และความสบายใจให้กับคนไข้มากขึ้น อย่างไรก็ตามหากมีการอธิบายข้อดี – ข้อเสีย ของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา อาจทำให้หลายคนสามารถตัดใจได้ง่ายขึ้น และเราเองก็ควรรู้ข้อควรระวังเอาไว้ อย่างน้อยไว้ป้องกันในยามฉุกเฉินก็ยังดี

The advantages of filler injections are as follows:

  • การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นหัตถการที่มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากฟิลเลอร์มีส่วนประกอบของ Hyaluronic Acid  ที่สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ และได้รับการรับรองความปลอดภัยจาก อย.
  • การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นหัตถการเสริมความงามสำหรับการแก้ไขปัญหาเรื่องริ้วรอย รอยร่องลึกใต้ตา และช่วยลดความหมองคล้ำใต้ตา ที่ทำให้ใบหน้าดูหมองคล้ำ และทำให้ใบหน้าดูโทรม
  • การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาบริเวณใต้ตา โดยไม่ต้องทำการผ่าตัด ไม่ทิ้งรอยแผล  และไม่เสียเวลาพักฟื้น
  • หลังจากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันที โดยผลลัพธ์ที่ได้ใต้ตาจะดูเต็มยิ่งขึ้น ผิวหนังบริเวณใต้ตามีความเรียบเนียน และทำให้ใบหน้าดูสดใส
  • การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ หากทำการฉีดโดยแพทย์มีประสบการณ์ในการฉีดใต้ตา
  • หากหลังจากการฉีดไม่พอใจกับผลลัพธ์ที่ออกมา สามารถฉีดสลายฟิลเลอร์เพื่อแก้ไข แล้วทำการฉีดใหม่ได้
  • หลังจากการฉีดจะทำให้ผิวใต้ตาดูเรียบเนียน และทำให้ใต้ตามีความสว่างขึ้น ทำให้ง่ายต่อการแต่งหน้า และช่วยลดเวลาในการปกปิดร่องลึกใต้ตา

Disadvantages of Undereye Filler Injections

  • หลังจากทำการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา อาจเกิดอาการบวมช้ำ เป็นเวลา 1 – 3 วัน แล้วจะค่อยจางหายไปเอง
  • หากทำการฉีดกับแพทย์ที่ไม่มีระสบการณ์ อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง เช่นเกิดการอุดตันของเส้นเลือดทำให้เนื้อตาย หรืออาจทำให้ถึงขั้นตาบอด หากทำการรักษาไม่ทันเวลา
  • ถ้ามีการเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่ไม่เหมาะสม หรือแพทย์มีการฉีดลึก ตื้นเกินไป อาจทำให้ผิวหนังไม่เรียบ ดูเป็นก้อน และมีเงาทำให้คล้ำมากขึ้น
  • การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาให้ผลลัพธ์ที่ไม่ถาวร ทำให้ต้องมีการฉีดซ้ำ หากต้องการรักษาผลลัพธ์
  • การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอาจไม่เหมาะกับทุกปัญหาใต้ตา เช่นบุคคลที่มีถุงใต้ตาใหญ่ หนังตาเกิดการหย่อนคล้อย หรือกล้ามเนื้อใต้ตาโป่ง

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เจ็บไหม

อาการเจ็บปวดของแต่ละบุคคลอาจมีความแตกต่างกัน แต่โดยปกติการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะมีอาการเจ็บ อาการตึงเล็กน้อยขณะทำการฉีด เนื่องจากจะมีการแปะยาชาก่อนการทำหัตถการ หรือการใช้ฟิลเลอร์ที่มีส่วนผสมของยาชา ซึ่งจะช่วยลดอาการเจ็บปวดได้

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคา

โดยทั่วไปแล้ว การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะใช้ปริมาณฟิลเลอร์ประมาณ 1-2 ซีซี เพื่อแก้ไขปัญหาโดยภาพรวม ซึ่งราคาจะขึ้นอยู่กับชนิดและยี่ห้อของฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ โดยราคาเฉลี่ยต่อซีซีจะอยู่ที่ประมาณ 9,000 – 20,000 บาท อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงตามความต้องการและปลอดภัยที่สุด ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินสภาพปัญหาและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา บวมกี่วัน

คำถามยอกฮิต ไม่ว่าจะเป็นการฉีดในตำแหน่งไหนก็ตาม กับการถามว่า “ฉีดฟิลเลอร์บวมกี่วัน” โดยปกติหลังจากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา จะมีอาการบวมประมาณ 3 – 7 วัน แล้วอาการบวมจะค่อย ๆ ลดลง และจะหายไปเองภายในเวลา 2 สัปดาห์ ฟิลเลอร์จะเริ่มเข้าที่ แต่ถ้าหากภายใน 3 วันหลังจากการฉีดอาการบวมยังไม่หาย หรือยุบลง ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา กี่วันเห็นผล

โดยทั่วไปหลังจากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะเห็นผลของการเปลี่ยนแปลงทันที ซึ่งในช่วง 1 – 3 วันหลังการฉีดจะมีอาการบวม และมีรอยช้ำเล็ก แต่จะยุบลงไปเองภายใน 3 – 7 วัน ฟิลเลอร์ใต้ตาจะเริ่มเข้าที่ และจะเห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจน ภายใน 1 เดือน

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา อันตรายไหม ตาบอดไหม

อีก 1 คำถามคาใจใครหลาย ๆ คน แต่อย่างที่ทราบกัน ว่าการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นการฉีดเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาตรงบริเวณใต้ตาที่มีความปลอดภัยสูง หากทำการฉีดโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ฉีดใต้ตา และมีความรู้ทางด้านกายวิภาค เนื่องจากบริเวณใต้ตา มีเส้นเลือดจำนวนมาก ซึ่งหากมีการฉีดผิดจุดไปโดนเส้นเลือด อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง เช่น ตาบอด  หรือทำให้การมองเห็นแย่ลง มีความเบลอ เป็นต้น

ก่อน – หลัง ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ห้ามกินอะไรบ้าง

อย่างที่ทราบการรับประทานอาหาร ยา หรือเครื่องดื่ม เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลของประสิทธิภาพของฟิลเลอร์ และการคงอยู่ของผลลัพธ์ ดังนั้นก่อน-หลัง การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานสิ่งเหล่านี้

ก่อนการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาห้ามกินของ ดังนี้

  • Aspirin, NSAIDs such as Ibuprofen, Diclofenac, Ponstan should be avoided for 7 days before the injection and a doctor should be consulted before stopping the medication.
  • You should stop taking St. John Wort, Ginkgo biloba, Primrose oil, Garlic, Ginseng, and Vitamin E for 7 days before the injection.
  • งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นเวลา 24 ชั่วโมงก่อนการฉีด เนื่องจากแอลกอฮอล์จะทำให้เลือดไหลง่ายขึ้น และอาจจะเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดรอยช้ำได้

หลังการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาห้ามกินของ ดังนี้

  • งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นเวลา 2 สัปดาห์ หลังการฉีด เนื่องจากแอลกอฮอล์จะทำให้เลือดไหลง่ายขึ้น และอาจจะเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดรอยช้ำได้
  • งดรับประทานอาหารที่มีรสจัด เป็นเวลา 2 สัปดาห์ หลังจากการฉีด เช่น การทานอาหารที่มีรสชาติเค็มมาก โซเดียมจะทำให้เกิดการบวมน้ำ ทำให้อาการบวมหายช้าลง หรืออาหารที่มีรสชาติหวานมากเกินไป จะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ รวมถึงอาหารที่มีรสชาติเผ็ดมากไป จะทำให้เลือดเกิดการขยายตัว และบวมขึ้น
  • งดรับประทานอาหารหมักดอง และอาหารดิบ เป็นเวลา 2 สัปดาห์ หลังการฉีด เนื่องจากอาหารประเภทนี้อาจมีสิ่งปนเปื้อน ที่อาจทำให้เกิดการติดเชื้อ และเกิดการอักเสบ
  • งดรับประทานอาหาร หรือเครื่องดื่มที่ร้อนจัด เป็นเวลา 2 สัปดาห์ หลังการฉีด เนื่องจากความร้อนจะทำให้ฟิลเลอร์เกิดการสลายตัวได้เร็วขึ้น และอาจทำให้เกิดการเคลื่อนตัวของฟิลเลอร์
  • งดรับประทานอาหารเสริมบางประเภท เช่น แอสไพริน, NSAIDs, วิตามินอี และน้ำมันตับปลา เป็นเวลา 2 สัปดาห์หลังการฉีด