Radiesse เป็นฟิลเลอร์ที่ค่อนข้างต่างจากฟิลเลอร์ทั่วไป เพราะไม่ได้แค่เติมเต็ม แต่ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนไปในตัว เรียกได้ว่าได้ 2 อย่างในครั้งเดียว ใครที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อย หรืออยากให้หน้าดูแน่นขึ้นแบบไม่ต้องฉีดบ่อย อาจเคยได้ยินชื่อฟิลเลอร์ตัวนี้มาบ้าง แต่ก่อนตัดสินใจฉีด ควรรู้ข้อดี ข้อจำกัด และความเหมาะสมให้ชัดเจน บทความนี้จะพาไปดูว่า Radiesse คืออะไร เหมาะกับใคร และควรพิจารณาอะไรบ้างก่อนเลือกใช้
Radiesse คือ

Radiesse จัดเป็นทั้งฟิลเลอร์ (Dermal Filler) และ Skin Biostimulator โดยใช้เทคโนโลยีที่ประกอบด้วย Calcium Hydroxylapatite (CaHA) microspheres ซึ่งเป็นสารที่พบได้ตามธรรมชาติในกระดูกและฟันของร่างกาย โดยแบรนด์นี้ผลิตภายใต้บริษัท Merz Aesthetics ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์จาก ประเทศเยอรมนี และได้รับการรับรองจาก FDA (องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา)
จุดเด่นเลยก็คือ Radiesse ไม่ได้ให้แค่ผลลัพธ์ในการเติมเต็มทันที แต่ยังกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติ ทำให้ผิวมีคุณภาพดีขึ้นในระยะยาว
Radiesse ช่วยเรื่องอะไรบ้าง
สำหรับ Radiesse ที่มีประกอบหลักเป็น CaHA (Calcium Hydroxylapatite แคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทต์) ที่มีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และสารอีลาสติน ซึ่งจะช่วยให้โครงสร้างผิวหนังมีความแข็งแรงขึ้น จึงช่วยทำให้ผิวหนังเกิดความกระชับ เต่งตึง นอกจากนี้ยังช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นคืนตัวได้ดี ช่วยความชุ่มชื้นให้กับผิว ช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องริ้วรอย รอยร่องลึก และช่วยปรับรูปหน้าให้มีความสมดุล และใบหน้ามีมิติมากขึ้น รวมถึงช้วยเพิ่มวอลลุ่มให้กับผิว ทำให้ผิวดูอิ่มฟู ดูมีสุขภาพดี
Radiesse เหมาะกับใคร
Radiesse เหมาะสำหรับคนที่ต้องการทั้ง การเติมเต็มทันที andฟื้นฟูผิวระยะยาวด้วยการกระตุ้นคอลลาเจน เพื่อให้ผิวดูอ่อนเยาว์และมีคุณภาพดีขึ้น ตัวอย่างผู้ที่เหมาะจะฉีด Radiesse มีดังนี้
- ผู้ที่ต้องการเติมเต็มริ้วรอยร่องลึก เช่น ร่องแก้ม, ร่องน้ำหมาก และ เพิ่มวอลลุ่ม เช่น ขมับตอบ, แก้มตอบ
- ผู้ที่ต้องการผิวที่แน่น กระชับ และยืดหยุ่นขึ้น ในระยะยาว เพราะช่วยกระตุ้นคอลลาเจน
- ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวที่หย่อนคล้อย ในบริเวณอื่น ๆ นอกจากใบหน้า เช่น หลังมือ, ลำคอ, เนินอก โดยเฉพาะเทคนิค Hyperdilute Radiesse
- ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่อยู่ได้นาน โดย Radiesse จะคงผลลัพธ์ได้นาน 1-2 ปี (ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ ด้วย เช่น การดูแลหลังฉีดฟิลเลอร์)
- ผู้ที่กำลังมองหาการกระตุ้นคอลลาเจน ที่ให้ผลลัพธ์บางส่วนทันที
Radiesse ต่างจากฟิลเลอร์อื่น ๆ ยังไง
Radiesse มีความโดดเด่นในการทำงานสองบทบาท โดย เริ่มต้นด้วยการเติมเต็ม ปริมาตรทันทีด้วยเจลพาหะ ซึ่งช่วยให้ริ้วรอยและรอยย่นดูเรียบเนียนขึ้นได้ในทันที หลังจากนั้น ส่วนประกอบหลักที่เป็นไมโครสเฟียร์ของ Calcium Hydroxylapatite (CaHA) จะทำหน้าที่ Stimulates collagen production ของร่างกายอย่างต่อเนื่อง ทำให้คุณภาพผิวและโครงสร้างผิวดีขึ้นในระยะยาว ผลลัพธ์จากการกระตุ้นคอลลาเจนนี้จะค่อยๆ ปรากฏชัดเจนขึ้นในไม่กี่สัปดาห์ถึงเดือน และสามารถ คงผลลัพธ์ได้ยาวนาน โดยมีความยืดหยุ่นสูงในการใช้งาน ทั้งการเติมเต็มเฉพาะจุดและการเจือจางเพื่อกระตุ้นคอลลาเจนในวงกว้าง
อาจจะสรุปได้ว่า Radiesse มีจุดแตกต่างอยู่ 3 จุด
- เทคโนโยลีที่ใช้
- Mechanism of operation
- เนื้อสัมผัส
ทั้งนี้ทั้งนั้น ทางผู้เขียนได้เขียนความแตกต่างของ Radiesse เมื่อเทียบกับ ฟิลเลอร์ประเภทเดียวกันไว้ถึง 2 บทความ สามารถเข้าไปอ่านได้ที่
- What is the difference between HArmonyCA and Radiesse? Which one is better?
- What is the difference between Sculptra and Radiesse? Which one is better?
Radiesse มีกี่รุ่น
Radiesse กับ Radiesse + โดยทั้ง 2 รุ่นมีความแตกต่างกันตรงที่ Radiesse + จะมีส่วนผสมของยาชาลิโดเคน (lidocaine) เพิ่มเข้ามา เพื่อลดความเจ็บปวดขณะฉีดสำหรับผู้ป่วยที่กังวลเรื่องความเจ็บปวดนั้นเอง

Radiesse เห็นผลเร็วไหม และอยู่ได้นานเท่าไหร่
การฉีด Radiesse นั้น จะให้ผลลัพธ์ หลังฉีดทันที โดยช่วยให้ริ้วรอยและรอยย่นดูเรียบเนียนขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นผลมาจากการเติมเต็มปริมาตรที่หายไป นอกจากผลลัพธ์ที่รวดเร็วแล้ว ความโดดเด่นของ Radiesse คือความสามารถในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติ ทำให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติและคุณภาพผิวที่ดีขึ้นนั้นสามารถ คงอยู่ได้นานถึง 1 ปีหรือนานกว่านั้น ในผู้ป่วยหลายราย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลหลังฉีดหรือเข้ารับการรักษาด้วย
ผลข้างเคียงของการรักษาด้วย Radiesse มีอะไรบ้าง
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยของ Radiesse หรือ Radiesse + ได้แก่ รอยฟกช้ำ, รอยแดง, อาการบวม, ความเจ็บปวด และอาการคันบริเวณที่ฉีด เหมือนกับการฉีดฟิลเลอร์หรือ Skin Booster ยี่ห้ออื่น ๆ