โบท็อกซ์ระหว่างคิ้ว วิธีลดรอยย่นระหว่างคิ้ว ที่เห็นผลได้จริงและรวดเร็ว

โบท็อกซ์ระหว่างคิ้ว กำลังเป็นที่นิยมมากในกลุ่มคนที่อยากลดรอยย่นบนใบหน้าแบบเห็นผลไว โดยเฉพาะบริเวณระหว่างคิ้วที่มักมีรอยพับชัดจากการขมวดคิ้วบ่อยๆ ทำให้หน้าดูดุหรือดูเหนื่อยล้า การฉีดโบท็อกซ์ช่วยคลายกล้ามเนื้อบริเวณนั้น ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น เหมาะกับคนที่อยากให้หน้าดูอ่อนเยาว์ขึ้นแบบไม่ต้องพักฟื้น ผลลัพธ์เห็นได้ในไม่กี่วัน แถมยังอยู่ได้นานหลายเดือน เป็นทางเลือกที่สะดวกและปลอดภัย ถ้าทำกับผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์และใช้โบท็อกซ์ของแท้

โบท็อกซ์ระหว่างคิ้ว คืออะไร

เป็นหัตถการเสริมความงาม ที่แพทย์จะทำการฉีดสาร โบทูลินัม ท็อกซิน เอ (Botulinum Toxin Type A) เข้าตรงบริเวณกล้ามเนื้อ procerus ที่อยู่ตรงระหว่างคิ้ว โดยโบท็อกซ์จะช่วยลดการทำงานของกล้ามเนื้อตรงระหว่างคิ้ว ส่งผลให้ริ้วรอยตรงระหว่างคิ้ว หรือรอยย่นระหว่างคิ้วมีความตื้นขึ้น จึงเหมาะสำหรับบุคคลที่ติดการขมวดคิ้วเป็นเวลานาน และเป็นประจำแบบไม่รู้สึกตัว รวมถึงช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยตรงบริเวณระหว่างคิ้วแบบถาวร

ทำไมต้องฉีดโบท็อกซ์ระหว่างคิ้ว

อย่างที่ทราบ การฉีดโบท็อกซ์ระหว่างคิ้ว แพทย์จะทำการฉีดสาร โบทูลินัม ท็อกซิน เอ (Botulinum Toxin Type A) เข้าตรงบริเวณกล้ามเนื้อ procerus ที่อยู่ตรงระหว่างคิ้ว ทำให้กล้ามเนื้อตรงระหว่างคิ้วมีการทำงานที่ลดลง ซึ่งการฉีดโบท็อกซ์จะทำให้ริ้วรอยที่เกิดจากการขมวดคิ้วเป็นเวลานานมีความจางลง และทำให้ผิวตรงระหว่างคิ้วมีความเรียบเนียน นอกจากนี้ รอยขมวดคิ้วอาจทำให้ใบหน้าดูดุ ดูเครียด และดูเหนื่อยล้า ซึ่งการฉีด โบท็อกซ์ จะทำให้ใบหน้าดูผ่อนคลาย มีความนุ่มนวล ดูเป็นมิตร และมีความอ่อนโยนมากขึ้น รวมถึงช่วยป้องกันไม่ให้เกิดริ้วรอยร่องลึกแบบถาวร ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้กับบุคคลนั้น สำหรับบางกรณีอาจจะฉีดเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดไมเกรน

รอยย่นระหว่างคิ้ว เกิดจากอะไร

รอยย่นระหว่างคิ้ว หรือ Glabella lines (Frown lines) มักมีลักษณะคล้ายกับเลข 11 อยู่ตรงบริเวณระหว่างคิ้ว โดยรอยย่นระหว่างคิ้วมี 2 แบบ คือ รอยย่นระหว่างคิ้วแบบถาวร และรอยย่นระหว่างคิ้วที่เห็นเมื่อแสดงสีหน้า ซึ่งสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้

  • อายุที่เพิ่มขึ้น เมื่อคนเราอายุเพิ่มขึ้น ร่างกายจะมีการผลิตคอลลาเจน และอีลาสตินน้อยลง ทำให้ผิวหนังเกิดการหย่อนคล้อย ขาดความยืดหยุ่น และขาดความกระชับ ส่งผลให้เกิดริ้วรอยได้ง่าย
  • พันธุกรรม มีหน้าที่ในการกำหนดลักษณะต่างๆ ของร่างกาย เช่น ลักษณะผิว สีผิว ความยากง่ายของการเกิดสิว ความไวต่อสิ่งกระตุ้น รวมถึงระดับฮอร์โมนด้วย จึงไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่จะมีลักษณะที่แตกต่างกัน บางคนอาจมีผิวมัน บางคนผิวแห้ง บางคนผิวผสม หรือบางคนอาจเกิดริ้วรอยได้ง่าย สาเหตุเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อการเกิดรอยย่น
  • การแสดงสีหน้า เช่น การขมวดคิ้ว การเพ่งสายตา หรือการแสดงสีหน้าบึ้งตึงเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดริ้วรอย หรือรอยย่นระหว่างคิ้ว
  • ความเครียด อาการเครียดแบบเรื้อรังจะทำให้เกิดการขมวดคิ้วเป็นประจำ ส่งผลให้เกิดรอยย่นระหว่างคิ้วแบบถาวร
  • แสงแดด เนื่องจากแสงแดดมีรังสี UV ที่เป็นปัจจัยคอยทำร้ายคอลลาเจนและอีลาสตินที่อยู่ในผิวหนัง ทำให้ผิวหนังขาดความชุ่มชื้น ผิวหนังขาดความสมดุล และทำให้ผิวหนังขาดความยืดหยุ่น ส่งผลให้ผิวหนังเกิดรอยย่นและเกิดริ้วรอย
  • การสูบบุหรี่ เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดรอยย่น เนื่องจากในบุหรี่มีสารเคมีที่คอยทำร้ายเซลล์ผิวให้เกิดความเสียหาย และยิ่งหากมีการสูบบุหรี่เป็นประจำก็จะทำให้มีรอยย่นเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
  • การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ และสารกันเสีย โดยส่งผลให้ผิวหนังเกิดความระคายเคือง ผิวแห้ง ซึ่งผิวแห้งเป็นบ่อเกิดของปัญหาริ้วรอย และรอยย่นได้
  • การขาดสารอาหาร การที่ร่างกายขาดสารบางอย่าง อาทิเช่น วิตามินซี วิตามินอี และกรดอะมิโน จึงมีส่วนทำให้ผิวหนังเกิดความอ่อนแอ และทำให้เกิดรอยย่นบนผิวหนังได้
  • การดื่มน้ำไม่เพียงพอ อย่างที่ทราบ น้ำเป็นองค์ประกอบหลักของร่างกาย เมื่อร่างกายขาดน้ำจะทำให้ผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่น และทำให้ผิวหนังดูแห้งกร้าน ส่งผลให้ริ้วรอยดูชัดขึ้น และอาจทำให้เกิดริ้วรอยขึ้นมาใหม่ โดยเฉพาะบริเวณระหว่างคิ้ว หรือรอบดวงตา
  • การนอนหลับไม่เพียงพอ ขณะที่เราหลับ ร่างกายจะมีการผลิตคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญที่ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น และมีความเต่งตึง ดังนั้นการนอนหลับไม่เพียงพอจะทำให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น และทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่าย
  • การนอนทับหน้าเป็นเวลานาน เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดริ้วรอย โดยเฉพาะบริเวณระหว่างคิ้ว เนื่องจากผิวหนังถูกกดทับเป็นเวลานาน จะทำให้คอลลาเจน และอีลาสตินบริเวณนั้นเกิดการเสื่อมสภาพ

รอยย่นระหว่างคิ้ว ส่งผลอะไร

รอยย่นระหว่างคิ้ว มักมีสาเหตุมาจากการขมวดคิ้ว หรือการแสดงอารมณ์เป็นประจำ ซึ่งทำให้เกิดริ้วรอยตรงบริเวณกลางหน้าผากระหว่างคิ้ว จนเกิดเป็นริ้วรอยขวางแนวนอน รอยย่นแนวตั้ง รอยย่นลึก และการเกิดรอยย่นเมื่อขมวดคิ้ว ส่งผลให้บุคคลนั้นมีใบหน้าที่ดูเครียด ไม่เป็นมิตร ทำให้ใบหน้าดูมีอายุมากขึ้น และอาจทำให้คนรอบข้างเข้าใจผิด นอกจากนี้การเกิดรอยย่นระหว่างคิ้วอาจทำให้สูญเสียความมั่นใจทางด้านรูปลักษณ์ หรืออาจทำให้สูญเสียโอกาสทางด้านการงาน รวมถึงอาจทำให้เกิดรอยร่องลึกแบบถาวร และอาจเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพ

โบท็อกซ์ระหว่างคิ้ว ราคา

ส่วนใหญ่การฉีดโบท็อกซ์ระหว่างคิ้ว จะใช้ประมาณ 6 – 20 ยูนิต ซึ่งปริมาณการใช้แต่ละครั้งมักมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความลึกของริ้วรอย ขนาด และความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ผลลัพธ์ที่ต้องการ และการประเมินอาการของแพทย์ โดยราคาการฉีดโบท็อกซ์ระหว่างคิ้ว จะเริ่มต้นที่ 3,000-12,000 บาท

การดูแลก่อน – หลัง ฉีดโบท็อกซ์ระหว่างคิ้ว

การดูแลก่อนการฉีดโบท็อกซ์ระหว่างคิ้ว

อย่างที่ทราบกันการฉีดโบท็อก (Botox) เป็นการฉีดสารชนิดหนึ่งเข้าตรงบริเวณกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ทำการฉีดมีการทำงานลดลง จนทำให้เกิดการหดตัว และเกิดความกระชับ ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดผลข้างเคียงที่ตามมา และเกิดความปลอดภัย ผู้ทำการฉีดควรปฏิบัติตัว ดังนี้

  • ก่อนทำการฉีดโบท็อกผู้ทำการฉีดควรมีการเข้าพบแพทย์ เพื่อทำการปรึกษา ประเมินอาการ และต้องมีการตรวจร่างกายเพื่อเตรียมความพร้อม
  • ผู้ทำการฉีดโบท็อกต้องมีการพักผ่อนให้เพียงพอ และต้องดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนทำการฉีด
  • ห้ามรับประทานอาหารเสริม หรือวิตามิน ที่มีคุณสมบัติให้เลือดหยุดไหลยาก อาทิเช่น น้ำมันอิฟนิ่งพริมโรส น้ำมันปลา วิตามินE สารสกัดที่มาจากโสม ขิง กระเทียม และใบแปะก๊วย เป็นเวลา 2 อาทิตย์
  • ห้ามรับประทานยาแก้ปวด ยาแอสไพริน และยากลุ่มต้านการอักเสบ NSAIDS อาทิเช่น Naproxen Ibruprofen เป็นเวลา 2 อาทิตย์
  • ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภท เป็นเวลา 24 ชั่วโมง ก่อนทำการฉีด
  • ผู้ที่จะทำการฉีดโบท็อกต้องไม่เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง
  • บุคคลที่ตั้งครรภ์ หรือต้องให้นมบุตร ห้ามฉีดโบท็อก

การดูแลหลังการฉีดโบท็อกซ์ระหว่างคิ้ว

หลังทำการฉีดโบท็อก (Botox) ผู้ทำการฉีดต้องมีการดูแลรักษาตัวเอง เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และเพื่อไม่ให้เกิดผลข้างเคียงที่ตามมา โดยผู้ทำการฉีดต้องมีดูแลหลังฉีดโบท็อก ดังนี้

  • ผู้ทำการฉีดต้องพยายามขยับกล้ามเนื้อบริเวณที่ทำการฉีด ประมาณ 20 นาที เพื่อให้โบท็อกมีการกระจายตัวเข้าสู่กล้ามเนื้อได้เร็วขึ้น
  • 4 ชั่วโมง หลังทำการฉีดโบท็อก ผู้ทำการฉีดสามารถล้างหน้า และสามารถทาครีมได้
  • 4 ชั่วโมงหลังจากทำการฉีดโบท็อก ควรงดการนอนเอนศีรษะ หรือนอนราบ เพื่อป้องกันการไหลของโบท็อกไปสู่บริเวณอื่น ที่อาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่ต้องการ
  • หลังจากทำการฉีดโบท็อกให้ใช้น้ำแข็งประคบเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ตามด้วยประคบอุ่นต่ออีก 24 ชั่วโมง
  • หลังจากทำการฉีดโบท็อกให้รับประทานอาหารที่มีแร่ธาตุสังกะสี (Zinc) อาทิเช่น เนื้อสัตว์ หรืออาหารทะเล  แต่ควรจะรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม
  • ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อช่วยให้โบท็อกเกิดกระจายตัวได้ดียิ่งขึ้น
  • ควรฉีดโบท็อกอย่างต่อเนื่อง แต่ควรอยู่ในระยะเวลาที่เหมาะสม ไม่ควรฉี่เกินไป
  • ควรไปพบแพทย์ตามนัดหมาย เพื่อติดตามอาการ และผลลัพธ์

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ การดูแล ก่อน-หลัง ฉีดโบท็อก ควรทำอะไรบ้าง พร้อมข้อควรระวัง

https://lh3.googleusercontent.com/proxy/hAt45qQaZ6Cz4n9J6WvZ0euLhPapBAiskRBE0OZ3VCoPQUakVXYogs8l4Ay0B37-fANqo-nUjofBrL-34c2TGY_KiOoay3PqRyr4-8gzx1arDYw

สรุป

อย่างที่ทราบ รอยย่นระหว่างคิ้ว จะมีลักษณะคล้ายกับเลข 1 หรือ 11 ซึ่งการเกิดรอยย่นระหว่างคิ้วอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น อายุที่เพิ่มขึ้น พันธุกรรม การแสดงออกทางสีหน้า มลภาวะ การใช้ชีวิตประจำวัน หรือความเครียด เป็นต้น ส่งผลให้บุคคลนั้นสูญเสียความมั่นใจ อาจสร้างความเข้าใจผิดให้กับคนรอบข้าง ทำให้ใบหน้าดูมีอายุ และอาจทำให้สูญเสียโอกาสในหน้าที่การงาน

ดังนั้นการฉีดโบท็อกซ์ระหว่างคิ้ว จะช่วยให้กล้ามเนื้อมีการทำงานน้อยลง ส่งผลให้ริ้วรอยที่เกิดจากการขมวดคิ้วเป็นเวลานานมีความจางลง และทำให้ผิวตรงระหว่างคิ้วมีความเรียบเนียน นอกจากนี้รอยขมวดคิ้วอาจทำให้ใบหน้าดูดุ ดูเครียด และดูเหนื่อยล้า Botox จะทำให้ใบหน้าดูผ่อนคลาย มีความนุ่มนวล ดูเป็นมิตร และมีความอ่อนโยนมากขึ้น รวมถึงช่วยป้องกันไม่ให้เกิดริ้วรอยร่องลึกแบบถาวร ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้กับบุคคลนั้น สำหรับบางกรณีอาจจะฉีดเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดไมเกรน โดยก่อนทำการฉีดแต่ละครั้งควรได้รับการประเมินจากแพทย์ เพื่อความปลอดภัย และผลลัพธ์ที่ออกมาตรงกับความต้องการ