[ข้อปฏิบัติ] ก่อน-หลัง ฉีดโบท็อกซ์ ห้ามกินอะไร ห้ามทำอะไรบ้าง

การฉีดโบท็อกซ์เป็นหัตถการความงามยอดนิยมที่ช่วยลดริ้วรอยและทำให้ผิวหน้าดูเรียบเนียน แต่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยและปลอดภัย สิ่งสำคัญคือการรู้ข้อปฏิบัติก่อนและหลังฉีดโบท็อกซ์อย่างถูกต้อง ซึ่งหลาย ๆ คนอาจมองข้ามเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น อาหารที่ควรเลี่ยง หรือพฤติกรรมที่ไม่ควรทำหลังฉีด ซึ่งจริง ๆ แล้วมีผลต่อประสิทธิภาพและความคงอยู่ของโบท็อกซ์ไม่น้อยเลย บทความนี้จะรวมข้อควรรู้แบบเข้าใจง่าย ว่าก่อนและหลังฉีดโบท็อกซ์ควรหลีกเลี่ยงอะไรบ้าง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

Table of Contents

ข้อปฏิบัติตัวก่อนฉีดโบท็อกซ์ (1 อาทิตย์ก่อนทำ )

อย่างที่ทราบ การฉีดโบท็อกซ์ (Botox) คือ การฉีดสารชนิดหนึ่งเข้าบริเวณกล้ามเนื้อ โดยโบท็อกซ์จะมีการออกฤทธิ์กับระบบประสาท ส่งผลให้กล้ามเนื้อมีการทำงานน้อยลง ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการหดตัว และทำให้เกิดความกระชับ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยกับผู้ฉีด และเพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ ควรมีการปฏิบัติตัวก่อนการฉีด ดังนี้

  • ก่อนทำการฉีดโบท็อกซ์ผู้ทำการฉีด ควรมีการเข้าพบแพทย์ เพื่อทำการปรึกษา เพื่อทำการประเมินอาการ และต้องมีการตรวจร่างกายเพื่อเตรียมความพร้อม
  • ผู้ทำการฉีดต้องมีการแจ้งเกี่ยวกับประวัติสุขภาพ โรคประจำตัว และยาที่มีการทางเป็นประจำอย่างละเอียด
  • ผู้ทำการฉีดต้องพักผ่อนให้เพียงพอ และต้องมีการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการฉีด
  • ห้ามรับประทานอาหารเสริม หรือวิตามิน ที่มีคุณสมบัติทำให้เลือดหยุดไหลยาก เช่น น้ำมันอิฟนิ่งพริมโรส น้ำมันปลา วิตามินE สารสกัดที่มาจากโสม ขิง กระเทียม และใบแปะก๊วย เป็นเวลา 14 วัน
  • ห้ามรับประทานยาแก้ปวด ยาแอสไพริน และยากลุ่มต้านการอักเสบ NSAIDS เช่น Naproxen Ibruprofen เป็นเวลา 14 วัน
  • ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เป็นเวลา 1 – 2 วันก่อนการฉีด  เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการบวม หรือรอยช้ำ
  • งดการทำกิจกรรมที่ทำให้เลือดไหลเวียน เช่นการออกกำลังกายหนัก สปา อาบน้ำร้อน หรือซาวน่า เป็นเวลา 1 วันก่อนการฉีด
  • บุคคลที่เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง บุคคลที่ตั้งครรภ์ หรือที่ต้องให้นมบุตร ห้ามฉีดโบท็อกซ์

ข้อปฏิบัติตัวหลังฉีดโบท็อกซ์

หลังจากการฉีดโบท็อกซ์ (Botox) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงกับความต้องการ และระยะเวลาการคงอยู่ของผลลัพธ์ รวมถึงเพื่อลดโอกาสการเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง ผู้ทำการฉีดควรมีการปฏิบัติตัวหลังการฉีด ดังนี้

  • หลังจากการฉีดโบท็อกซ์ต้องมีการขยับกล้ามเนื้อตรงบริเวณที่ทำการฉีด เพื่อให้โบท็อกซ์มีการกระจายตัวเข้าสู่กล้ามเนื้อได้เร็วยิ่งขึ้น เป็นเวลา 20 นาที  เช่น ถ้ามีการฉีดตรงบริเวณรอบดวงตา ควรยิ้มทุก ๆ 20 นาทีแรกหลังจากการฉีด
  • หลังจากการฉีดโบท็อกซ์ให้ใช้น้ำแข็งประคบ เป็นเวลา 24 ชั่วโมง ตามด้วยประคบอุ่นต่ออีก 24 ชั่วโมง
  • ควรรับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของแร่ธาตุสังกะสี (Zinc) อาทิเช่น เนื้อสัตว์ หรืออาหารทะเล แต่ควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม
  • หลังจากการฉีดควรมีการดื่มน้ำให้เพียง อย่างน้อยวันละ 7 – 8 แก้ว เพื่อให้โบท็อกซ์สามารถกระจายตัวได้ดีขึ้น
  • งดการนอนเอนศีรษะ หรือนอนราบหลังการฉีด เพื่อป้องกันการไหลของโบท็อกซ์ไปยังบริเวณอื่น ที่อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่ต้องการ
  • งดการสัมผัสตรงบริเวณที่ทำการฉีด เช่นการกด การนวด การถู หรือการคลึง เพราะจะทำให้โบท็อกซ์เกิดการกระจายตัวไปยังตำแหน่งอื่น
  • งดแต่งหน้าเป็นเวลา 1 วัน เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดการอุดตัน และลดการติดเชื้อตรงบริเวณรอยเข็ม
  • งดการทำกิจกรรมที่ทำให้เลือดเกิดการสูบฉีดมาก เช่นการวิ่ง การยกน้ำหนัก หรือการเข้าซาวน่า เพราะอาจทำให้เกิดการฟกช้ำ และอาจทำให้โบท็อกซ์กระจายตัวได้
  • งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากจะทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดรอยช้ำ และทำให้โบท็อกซ์ออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่
  • งดรับประทานอาหารที่มีรสจัด เช่นรสชาติเผ็ดมาก จะทำให้ใบหน้าแดง หรือเกิดการบวมเล็กน้อย
  • หลีกเลี่ยงการโดนความร้อน เช่นการอาบน้ำอุ่นจัด หรือการอบไอน้ำ เพราะความร้อนจะทำให้โบท็อกซ์เกิดการสลายตัว และทำให้ผลลัพธ์อยู่ได้สั้นลง
  • หลังจากการฉีดควรไปพบแพทย์ตามนัดหมาย เพื่อติดตามอาการ และผลลัพธ์

คำถามที่พบบ่อย

ก่อนฉีดโบท็อกซ์ ห้ามกินอะไร ? เหล้า-เบียร์ ดื่มได้ไหม

  • ก่อนการฉีดโบท็อกซ์ ควรมีการหลีกเลี่ยงอาหาร และเครื่องดื่มบางชนิด เพื่อลดโอกาสการเกิดผลข้างเคียง และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
  • งดรับประทานอาหารเสริม หรือวิตามิน ที่มีคุณสมบัติทำให้เลือดหยุดไหลยาก เช่น น้ำมันอิฟนิ่งพริมโรส น้ำมันปลา วิตามินE สารสกัดที่มาจากโสม ขิง กระเทียม และใบแปะก๊วย  เป็นต้น
  • งดรับประทานยาแก้ปวด ยาแอสไพริน และยากลุ่มต้านการอักเสบ NSAIDS เช่น Naproxen Ibruprofen
  • งดการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา เนื่องจากคาเฟอีนอาจส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดได้
  • งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดก่อนการฉีด เพราะแอลกอฮอล์จะทำให้หลอดเลือดเกิดการขยายตัว และทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ซึ่งอาจเพิ่มโอกาสในการเกิดรอยช้ำ และอาการบวมหลังการฉีด

ก่อนฉีดโบท็อกซ์ ห้ามทำอะไรบ้าง ?

ก่อนการฉีดโบท็อกซ์ มีกิจกรรม และการปฏิบัติที่ควรหลีกเลี่ยง เช่น งดการออกกำลังกายหนักที่จะทำให้เลือดมีการสูบฉีดสูง ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง การยกน้ำหนัก หรือการคาร์ดิโอที่หนักหน่วง เพราะอาจทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น และเพิ่มโอกาสในการเกิดรอยช้ำ หรืออาการบวมตรงบริเวณที่ทำการฉีด

ส่วนกรณีที่มีการฉีดโบท็อกซ์บริเวณใบหน้า งดการทำเลเซอร์ การทำทรีตเมนต์ การถอนขน หรือการแว็กซ์ เพราะจะทำให้เกิดความระคายเคืองบริเวณผิวหนัง และอาจทำให้เกิดการอักเสบได้

หลังฉีดโบท็อกซ์ ออกกำลังกายได้ไหม ?

หลังจากการฉีดโบท็อกซ์ แพทย์จะแนะนำให้งดการออกกำลังกายหนัก เป็นเวลา 1 – 2 วัน เนื่องจากการออกกำลังกายหนักจะทำให้หัวใจเต้นแรงเร็วขึ้น และเพิ่มการไหลเวียนเลือดทั่วร่างกาย ส่งผลให้โบท็อกซ์ที่ฉีดเข้าไปเกิดการระจายตัวไปยังบริเวณที่ไม่ต้องการ และทำให้เกิดผลข้างเคียง นอกจากนี้ยังส่งผลให้เกิดอาการบวม หรือรอยช้ำ รวมถึงอาจทำให้เกิดการกระทบกระเทือน และแรงกดตรงบริเวณที่ทำการฉีด ทำให้โบท็อกซ์เกิดการเคลื่อนตัว สุดท้ายความร้อน และเหงื่อที่เกิดจากการออกกำลังกาย จะทำให้เกิดการระคายเคืองตรงรอย หรือเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อ

หลังฉีดโบท็อกซ์ นอนราบได้ไหม ?

โดยปกติหลังจากการฉีดโบท็อกซ์ แพทย์จะไม่แนะนำให้นอนราบ หรือ นอนเอนศีรษะ เป็นเวลา 3 – 4 ชั่วโมง เพื่อป้องกันไม่ให้โบท็อกซ์ไหลไปยังบริเวณอื่น และท่านอนจะส่งผลต่อการไหลเวียนเลือด  ซึ่งอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น อาการบวม รอยช้ำ เป็นต้น

หลังฉีดโบท็อกซ์ กินกาแฟได้ไหม ?

หลังจากการฉีดโบท็อกซ์ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ เป็นเวลา 1 วัน เนื่องจากในกาแฟจะมีส่วนผสมของคาเฟอีน ที่มีฤทธิ์ที่กระตุ้นให้เกิดการไหลเลือด ทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้น และทำให้หลอดเลือดเกิดการขยายตัว ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดรอยช้ำ และอาการบวมตรงบริเวณที่ทำการฉีด 

หลังฉีดโบท็อกซ์ กินปลาร้าได้ไหม ?

โดยปกติหลังจากการฉีดโบท็อกซ์ แพทย์จะแนะนำให้หลีกเลี่ยงการทานปลาร้าก่อน เป็นเวลา 14 วัน เนื่องจากปลาร้าเป็นอาหารหมักดองที่ไม่ได้ผ่านการปรุงสุก ซึ่งอาจมีการปนเปื้อนของแบคทีเรีย หรือเชื้อโรค ที่อาจส่งผลให้เกิดการอักเสบ การติดเชื้อ และยังลดประสิทธิภาพของโบท็อกซ์