รวม 12 วิธีเพิ่มคอลลาเจนให้ผิวหน้า ทั้งแบบทำเองและแบบเร่งด่วน

การเพิ่มคอลลาเจนให้ผิวหน้าไม่จำเป็นต้องพึ่งหมอเสมอไป หลายวิธีสามารถทำเองได้ง่าย ๆ ที่บ้าน แค่ปรับพฤติกรรมหรือเลือกสิ่งที่ช่วยบำรุงจากภายในอย่างสม่ำเสมอ ผิวก็สามารถดูอิ่มฟูและสดใสขึ้นได้ในระยะยาว แต่ถ้าใครต้องการผลลัพธ์ที่เร็วขึ้นก็สามารถเสริมด้วยหัตถการ เช่น ฟิลเลอร์ สกินบูสเตอร์ หรือเทคโนโลยีกระตุ้นคอลลาเจนอื่น ๆ ได้เช่นกัน

วิธีเพิ่มคอลลาเจน

คอลลาเจน คือ

คอลลาเจน (Collagen) คือ โปรตีนชนิดหนึ่งที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของผิวหนัง โดยจะมีสัดส่วนสูงถึง 80 % ที่จะมีลักษณะเป็นสายยาว ทำหน้าที่เหมือนกับกาว และเป็นโครงสร้างของเนื้อเยื่อต่าง ๆ ภายในร่างกาย เช่นผิวหนัง กล้ามเนื้อ กระดูก เส้นเอ็น ข้อ และเล็บ ส่วนใหญ่คอลลาเจนจะอยู่ตรงบริเวณชั้นหนังแท้ (dermis) ซึ่งภายในร่างกายของเรามีคอลลาเจนสูงถึง 16 ชนิด และชนิดที่สามารถพบได้บ่อยมีทั้งหมด  5 ชนิด ดังนี้

  • Collagen Type I เป็นคอลลาเจนที่สามารถพบได้มากที่สุดในร่างกาย โดยจะพบตรงบริเวณผิวหนัง เส้นผม กระดูก ผนังหลอดเลือด และเนื้อเยื่อ ซึ่งจะช่วยในการเสริมความยืดหยุ่นให้กับผิว ทำให้ผิวหนังมีความเรียบเนียน และช่วยในเรื่องการสมานแผล แต่หากร่างกายมีปริมาณ Collagen Type I น้อย อาจทำให้ผิวเกิดปัญหา เช่น ริ้วรอย และผิวหนังเหี่ยวย่น
  • Collagen Type II เป็นคอลลาเจนที่มีความยืดหยุ่นมากกว่า Collagen Type I โดยจะพบตรงบริเวณกระดูก กระดูกอ่อน และข้อต่อ ซึ่งจะทำหน้าที่ในการช่วยสร้างกระดูกอ่อน แต่หากร่างกายมีปริมาณ Collagen Type I น้อย อาจทำให้เกิดอาการปวดข้อ และเป็นโรคไขข้อได้
  • Collagen Type III เป็นคอลลาเจนที่พบได้ตรงบริเวณผิวหนัง หลอดเลือด และกล้ามเนื้อ ซึ่งจะช่วยในการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับผิว
  • Collagen Type IV เป็นคอลลาเจนที่มีลักษณะเฉพาะตัว โดยจะพบตรงชั้นเนื้อเยื่อรับรองผิวของอวัยวะต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยในเรื่องการทำงานของระบบประสาท และเส้นเลือด
  • Collagen Type V เป็นคอลลาเจนที่พบได้ตรงบริเวณผิวหนัง เส้นผม กระดูก ผนังหลอดเลือด และเนื้อเยื่อ หรือในเนื้อเยื่อของเด็กทารกในระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งจะช่วยในการจัดเรียงเซลล์ผิวให้เป็นระเบียบ และช่วยในการเจริญของเส้นใยตรงบริเวณชั้นผิว

คอลลาเจนช่วยอะไร ทำไมต้องเพิ่ม

อย่างที่ทราบ คอลลาเจน เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่เป็นส่วนสำคัญของผิวหนัง โดยคอลลาเจนจะมีหน้าที่คล้ายกาว และเป็นโครงสร้างของเนื้อเยื่อ ซึ่งเมื่อคนเราอายุเพิ่มมากขึ้นคอลลาเจนจะมีการผลิตน้อยลง ส่งผลให้ผิวหน้าขาดความแข็งแรง เกิดริ้วรอยบนใบหน้า ผิวมีความหยาบกร้าน และทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับกระดูก ข้อ ดังนั้นจึงจะเป็นต้องเสริมคอลลาเจน

คอลลาเจน (Collagen) จะช่วยเรื่องของการบำรุงผิว ทำให้ผิวหนังมีความเต่งตึง เรียบเนียน ไม่มีหยาบกร้าน ทำให้ผิวดูชุ่มชื้น และช่วยเรื่องการเสริมความยืดหยุ่นให้กับผิว นอกจากนี้ยังช่วยลดโอกาสการเกิดโรคข้ออักเสบ อาการปวดข้อ ช่วยเรื่องการฟื้นฟู ช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่อาจเกิดความเสียหาย จากอาการบาดเจ็บ การเกิดบาดแผล เป็นต้น ช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ และลดการสูญเสียกล้ามเนื้อเมื่ออายุเพิ่มขึ้น ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับเส้นผม เล็บ ลดโอกาสการเกิดการแตกหัก และทำให้เติบโตได้อย่างดี สุดท้ายช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี  และช่วยลดการมองเห็น Cellulite บนผิวหนัง

สัญญาณผิวที่บ่งบอกว่าเริ่มขาดคอลลาเจน

สัญญาณของผิวที่บ่งบอกว่าเริ่มขาดคอลลาเจน สามารถปรากฏออกมาได้หลายลักษณะ เนื่องจากคอลลาเจนเป็นโปรตีนที่เป็นสำคัญของผิว ที่ทำให้ผิวหนังเต่งตึง มีความยืดหยุ่น และทำให้ผิวดูอ่อนกว่าวัย ดังนั้นเมื่อร่างกายเกิดการสูญเสียคอลลาเจน หรือมีการผลิตน้อยลง ผิวหนังจะเริ่มเกิดริ้วรอย มีรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า ผิวมีความแห้ง ขาดความชุ่มชื้น ผิวมีความบาง มีความหยาบกร้าน ผิวจะเริ่มขาดความยืดหยุ่น ทำให้ผิวรู้สึกเต่งตึงน้อยลง นอกจากนี้สีผิวยังไม่สม่ำเสมอ เกิดจุดด่างดำ รูขุมขนกว้างขึ้น เกิดรอยหลุมสิว รอยบุ๋ม และหลังจากการเกิดการบาดเจ็บจะมีการฟื้นฟูช้ากว่าปกติ จนอาจทำให้เกิดรอยแผลเป็น

Collagen-Deficiency

วิธีเพิ่มคอลลาเจนให้ผิวหน้า ผิวสวย สุขภาพดี

เมื่อคนเรามีอายุที่เพิ่มมากขึ้น คอลลาเจนใต้ผิวหนังจะมีการผลิตลดลง ส่งผลให้เกิดริ้วรอย ผิวหนังเกิดความหย่อนคล้อย ดูไม่สดใส แก่ก่อนวัย และอาจทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับกระดูก หรือข้อ แต่เราสามารถช่วยเพิ่ม และรักษาคอลลาเจนใต้ผิวหนังได้ด้วยวิธี ดังนี้

1. การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์

โดยเฉพาะการทานโปรตีน เช่น เนื้อไก่ เนื้อปลา กระดูกหมู ไข่ ถั่ว และธัญพืช จะช่วยเพิ่มคอลลาเจนได้ดี นอกจากนี้การทานวิตามินซี วิตามินเอ และวิตามินอี ควบคู่จะช่วยชะลอการสลายตัวของคอลลาเจน และช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน รวมถึงช่วยการผลัดเซลล์

2. การดื่มน้ำให้เพียงพอ

น้ำเป็นองค์ประกอบที่สำคัญต่อร่างกาย หากมีการดื่มน้ำอย่างเพียงพอ จะช่วยให้ผิวหนังเกิดความชุ่มชื้น และยังเป็นสิ่งสำคัญต่อการทำงานของเซลล์ผิว และการผลิตคอลลาเจนที่แข็งแรง

3. การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ช่วย

การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของเรตินอล วิตามินซี เปปไทด์ หรือ Niacinamide (วิตามินบี 3) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน และช่วยในการปรับปรุงสภาพผิว

4. การทาครีมกันแดด

แสงแดดเป็นตัวการที่คอยทำลายคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ดังนั้นก่อนออกแดดควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30  + + เป็นประจำทุกวัน แม้ในวันที่ไม่มีแดดจัด หรือควรหลีกเลี่ยงการเผชิญแดดโดยตรง

5. การพักผ่อนให้เพียงพอ

เวลาที่คนเรานอนหลับร่างกายจะเกิดการหลั่งโกรทฮอร์โมนออกมา เพื่อช่วยฟื้นฟู ซ่อมแซมเซลล์ผิว และช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนในเนื้อเยื่อให้มีความแข็งแรงยิ่งขึ้น ซึ่งควรนอนก่อน 4 ทุ่ม และควรนอนได้ 7 – 8 ชั่วโมง ก็จะช่วยในการเพิ่มคอลลาเจนบนใบหน้า

6. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

การออกกำลังกาย เช่น การ Cardio จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และยังช่วยกระตุ้นให้ระบบไหลเวียนเลือด และหัวใจมีการทำงานได้ดี สามารถส่งเลือด หรือสารอาหารไปเลี้ยงผิวได้ดี ทำให้เซลล์ผิวมีการสร้างคอลลาเจน ผิวหนังเกิดการฟื้นฟู ผิวมีสุขภาพที่ดี และมีความเปล่งปลั่ง

7. การฉีด Sculptraการฉีด Skin Booster

เป็นการฉีดสารบำรุงผิวชนิดเข้มข้นตรงบริเวณชั้นผิวหนังชั้นกลาง (Dermis) เปรียบเสมือนการเติมอาหารให้ผิว ช่วยฟื้นฟูสภาพผิว นอกจากนี้ Skin Booster ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินให้ผิว ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นและดูอ่อนเยาว์มากขึ้น เช่น Sculptra, Juvelook เป็นต้น

8. RF (Radio Frequency)

เป็นการรักษาโดยการยิงคลื่นวิทยุลงสู่ชั้นผิวเพื่อกระตุ้นให้เกิดความร้อน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอีลาสตินขึ้นใหม่ ส่งผลให้ใบหน้าเกิดความกระชับ เรียบเนียน ช่วยลดเลือนริ้วรอย ลดจุดด่างดำ และทำให้ใบหน้าดูกระจ่างใสยิ่งขึ้น

9. Ultherapy

เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นเสียงอัลตราซาวด์ความถี่สูง (High Intensity Focused Ultrasound) เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวหน้ากระชับ ดูอ่อนเยาว์ ผิวเรียบเนียน อิ่มฟู เปล่งปลั่ง และช่วยให้ใบหน้าดูสดใสยิ่งขึ้น

10. Thermage

เป็นการรักษาโดยจะมีการใช้คลื่น Radio Frequency ยิงลงไปที่ชั้นผิวหนังชั้นหนังแท้ และตรงไขมัน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง และเพื่อให้เกิดการยกกระชับขึ้น ส่งผลให้ผิวหนังมีความแน่นขึ้น ริ้วรอยมีความจางลง ทำให้ผิวหนังเรียบเนียน และช่วยให้ไขมันบริเวณใบหน้าลดลง

11. การทำทรีตเมนต์หน้าใส

เป็นอีกหนึ่งวิธีในการฟื้นฟูและซ่อมแซมผิวหน้า ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การทำความสะอาดผิวหน้า การขัดผิว การขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ การมาสก์หน้า หรือการนวดหน้า เพื่อช่วยกระตุ้นการทำงานของผิว ส่งเสริมการไหลเวียนของเลือด และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ส่งผลให้ผิวหน้ากระจ่างใส ดูอ่อนวัย เรียบเนียน และไม่แห้งกร้าน

12. การทำเลเซอร์บำรุงผิว (Laser Resurfacing)

เป็นการรักษาที่ใช้แสงเลเซอร์พลังงานสูงยิงลงตรงที่ผิวหนัง ซึ่งเลเซอร์จะช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกออก และกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นมาใหม่ ทำให้ผิวเรียบเนียน ลดเลือนริ้วรอย กระชับรูขุมขน และแก้ไขปัญหาผิวต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ

สิ่งที่ควรเลี่ยง เพื่อป้องกันการสูญเสียคอลลาเจน

เพื่อไม่ให้ผิวหนังเกิดการสูญเสียคอลลาเจน ที่จะทำให้ผิวหน้าเกิดการเหี่ยวย่น มีความหยาบกร้าน และทำให้ใบหน้าดูแก่ก่อนวัย เราควรจะหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้

  • บุหรี่ อย่างที่ทราบในบุหรี่จะมีสารนิโคติน ที่เป็นตัวการคอยทำร้ายคอลลาเจน และอีลาสตินใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวหนังเกิดริ้วรอย และแผลมีการหายช้า นอกจากนี้นิโคตินจะทำให้หลอดเลือดตรงบริเวณผิวเกิดการหดตัว และขัดขวางการส่งออกซิเจน รวมถึงสารอาหาร
  • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มาก จะทำให้ร่างกายเกิดการสูญเสียน้ำ ส่งผลให้ผิวดูไม่สดใส ไม่เปล่งปลั่ง และยังส่งผลกระทบต่อระบบไหลเวียน รวมถึงระบบย่อยอาหาร
  • การรับประทานอาหารที่มีน้ำตาล และคาร์โบไฮเดรตขัดสีมากจนเกินไป เนื่องจากน้ำตาลจะเข้าไปจับตัวกับโปรตีน เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ปลายไกลเคชั่นขั้นสูง (AGEs) ซึ่งโมเลกุลเหล่านี้จะทำลายโปรตีนที่อยู่ใกล้เคียง และทำให้คอลลาเจนเกิดการแห้งตัว เปราะบาง และเกิดการอ่อนแอลง
  • แสงแดด อย่างที่ทราบภายในแสงแดดจะมีรังสียูวี ที่เป็นตัวการการทำลายคอลลาเจน และอีลาสตินใต้ผิว นอกจากนี้ยังส่งผลต่อการผลิตคอลลาเจน และทำให้คอลลาเจนเกิดการสลายตัวเร็วขึ้น
  • มลภาวะ เช่นฝุ่นละออง หรือควันรถยนต์ เมื่อมีการสะสมเป็นเวลานาน สามารถทำลายคอลลาเจนใต้ชั้นผิวได้
  • ความเครียด เมื่อคนเราเกิดความเครียด ร่างกายจะมีการผลิตสารคอร์ติซอลออกมา ซึ่งเป็นฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่จะทำลายคอลลาเจนใต้ผิว