Juvederm กับ Sculptra แตกต่างกันยังไง ? อันไหนฉีดเพื่ออะไร

ฟิลเลอร์ Juvederm และ Sculptra เป็นสองแบรนด์ยอดนิยมที่หลายคนมักนำมาใช้เพื่อฟื้นฟูผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ แต่แม้จะมีจุดประสงค์คล้ายกัน ทั้งสองตัวนี้ก็มีความ แตกต่างกัน อย่างเห็นได้ชัด ทั้งในเรื่องของสารที่ใช้ กลไกการทำงาน และผลลัพธ์ที่ได้ หลายคนจึงสงสัยว่า Juvederm กับ Sculptra อันไหนดีกว่า และเหมาะกับตนเองมากกว่ากัน บทความนี้จะมา เปรียบเทียบ จุดเด่นของทั้งสองแบบให้เข้าใจง่าย ว่าแต่ละตัวเหมาะกับการฉีดเพื่ออะไร เพื่อช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและได้ผลลัพธ์ที่ตรงใจที่สุด

Juvederm คือ ?

ฟิลเลอร์ Juvederm เป็นชื่อแบรนด์ของฟิลเลอร์ยี่ห้อนึงที่ผลิตโดยบริษัท Allergan จากประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีบริษัท Allergan Thailand (DSKH) เป็นผู้นำเข้า ซึ่งฟิลเลอร์ Juvederm ได้รับการรับรองความปลอดภัย และผ่านมาตรฐานจากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ด้วยเทคโนโลยีเฉพาะของ Allergan ทำให้ฟิลเลอร์แต่ละตัวมีคุณสมบัติที่มีความแตกต่าง และมีความหลากหลาย เหมาะสำหรับทุกสภาพของผิวหนัง และทุกปัญหา โดยฟิลเลอร์ Juvederm ที่มีถึง 6 รุ่น อ่านต่อได้ที่ ฟิลเลอร์ Juvederm

Sculptra คือ ?

SCULPTRA เป็นชื่อแบรนด์ผลิตภัณฑ์กลุ่ม Collagen Biostimulator ตัวแรกของโลก ที่มีสารสำคัญคือ Poly-L-Lactic Acid (PLLA-SCA) ซึ่งไม่เหมือนฟิลเลอร์ทั่วไปที่เติมเต็มทันที แต่จะทำงานโดยการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนชนิดที่ 1 ขึ้นมาใหม่ในชั้นผิวอย่างเป็นธรรมชาติและต่อเนื่อง ทำให้ผิวแน่นฟู ยืดหยุ่น และยกกระชับขึ้น โดยผลลัพธ์จะเริ่มเห็นชัดใน 2-3 เดือนและอยู่ได้นานถึง 2 ปี ปัจจุบัน SCULPTRA เป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัท Galderma (กัลเดอร์มา) ที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland) ซึ่งเป็นบริษัทยาและเวชสำอางระดับโลก และถูกนำเข้าในประเทศไทยโดย บริษัท กัลเดอร์มา (ประเทศไทย) จำกัด อย่างเป็นทางการ

ฟิลเลอร์ Juvederm และ Sculptra แตกต่างกันอย่างไร ?

ฟิลเลอร์ Juvederm และ Sculptra เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการปรับปรุงใบหน้าและลดเลือนริ้วรอยเหมือนกัน แต่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน จะเห็นได้จากตารางด้านล่าง

คุณสมบัติJuvedermSculptra
ส่วนประกอบหลักHyaluronic Acid (HA) / กรดไฮยาลูรอนิกPoly-L-Lactic Acid (PLLA-SCA)
จัดอยู่ในกลุ่มDermal Filler (สารเติมเต็ม)Collagen Biostimulator (สารกระตุ้นคอลลาเจน)
กลไกการทำงานเติมเต็มทันที (Immediate Volumizing) โดย HA จะเข้าไปเพิ่มปริมาตรและอุ้มน้ำในบริเวณที่ฉีดกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Stimulates Collagen) โดย PLLA จะกระตุ้นเซลล์ผิวให้สร้างคอลลาเจนใหม่ขึ้นมาทดแทนอย่างช้า ๆ
ระยะเวลาเห็นผลทันที หลังการฉีดค่อยเป็นค่อยไป เห็นผลเต็มที่ประมาณ 2-3 เดือน
ความคงทนของผลลัพธ์ประมาณ 6 – 24 เดือน (ขึ้นอยู่กับรุ่นของฟิลเลอร์)นานถึง 2 ปี หรือมากกว่านั้น เนื่องจากเป็นการสร้างคอลลาเจนใหม่ของร่างกาย
เป้าหมายหลักเติมเต็มเฉพาะจุดอย่างแม่นยำ เช่น เติมร่องแก้ม คาง ริมฝีปาก ใต้ตา หรือปรับโครงสร้างกระดูกฟื้นฟูโครงสร้างผิวทั่วใบหน้า แก้ปัญหาความหย่อนคล้อย ผิวเหี่ยว ขาดคอลลาเจน และเพิ่มความแน่นฟู

ฟิลเลอร์ Juvederm และ Sculptra ทำงานอย่างไร ?

ทั้ง 2 ตัวนี้ ทำงานแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง อย่างที่ทราบว่า Juvederm คือฟิลเลอร์ ส่วน Sculptra คือ สารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ส่วนประกอบหลักก็ต่างกัน เพราะฉะนั้น การทำงานจึงแตกต่างกันมาก 

ถ้าหากจะสรุป ก็อาจจะสรุปการทำงานของทั้ง 2 ได้ว่า Juvederm ทำงานแบบ “การเติมเต็มทันที” (Immediate Volumization) เพื่อปรับรูปหน้าและแก้ไขร่องลึกอย่างแม่นยำ ส่วน Sculptra ทำงานแบบ “การกระตุ้นการสร้างใหม่” (Regeneration) โดยอาศัยกลไกธรรมชาติของร่างกาย ผลลัพธ์จึงค่อย ๆ ปรากฏและคงอยู่ได้ยาวนานกว่า

ใครเหมะที่จะฉีด Juvederm

Juvederm ซึ่งเป็นฟิลเลอร์ประเภทไฮยาลูรอนิก (HA Filler) เหมาะกับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาผิวและปรับโครงสร้างใบหน้าในลักษณะที่ต้องการ ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและแม่นยำ โดยเฉพาะในบริเวณที่ต้องการการเติมเต็มเฉพาะจุดหรือการปรับรูปทรง รวมถึงผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ย้อนกลับได้ เพราะJuvederm เป็นฟิลเลอร์ HA ซึ่งสามารถสลายได้ตามธรรมชาติ แต่หากเกิดเหตุไม่คาดฝันหรือไม่พึงพอใจในผลลัพธ์ สามารถฉีดสลายด้วยเอนไซม์ Hyaluronidase ได้

ใครเหมะที่จะฉีด Sculptra

Sculptra เหมาะกับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวแบบองค์รวม ผู้ที่มีปัญหาผิวเสื่อมสภาพจากการขาดคอลลาเจน โดยเน้นการกระตุ้นกลไกธรรมชาติของร่างกายให้สร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะให้ผลลัพธ์ที่ค่อยเป็นค่อยไป ดูเป็นธรรมชาติ และคงอยู่ได้ยาวนาน

ฟิลเลอร์ Juvederm และ Sculptra ฉีดด้วยกันได้ไหม ?

สำหรับ Juvederm และ Sculptra สามารถฉีดร่วมกันได้ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แต่โดยทั่วไปมักจะมีการ แยกบริเวณหรือเว้นช่วงเวลา ในการฉีด เพื่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุด โดยการใช้หัตถการทั้งสองชนิดร่วมกัน เราจะเรียกว่า Combination Treatment โดยแนวทางการฉีดร่วมกันนั้น แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญอาจใช้เทคนิคผสมผสานโดยพิจารณาจากตำแหน่งที่ฉีดและกลไกการทำงานของสาร เช่น ฉีดในบริเวณที่แตกต่างกัน หรือ การเว้นช่วงเวลาการฉีด 2-4 สัปดาห์ เป็นต้น