โบท็อกซ์ คอ บ่า ไหล่ คืออะไร ? ช่วยเรื่องออฟฟิศซินโดรมได้จริงไหม

โบท็อกซ์ คอ บ่า ไหล่ เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ถูกพูดถึงในกลุ่มคนทำงานออฟฟิศที่ต้องนั่งหน้าคอมนาน ๆ จนปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเรื้อรัง โดยเฉพาะใครที่มีอาการออฟฟิศซินโดรม การฉีดโบท็อกซ์บริเวณคอ บ่า ไหล่ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยคลายกล้ามเนื้อที่ตึงสะสมให้ผ่อนคลายมากขึ้น ลดอาการปวดตึงและช่วยให้เคลื่อนไหวได้ดีขึ้นในชีวิตประจำวัน ใครที่สนใจวิธีนี้ บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจว่าโบท็อกซ์คอ บ่า ไหล่คืออะไร เหมาะกับใคร และช่วยเรื่องออฟฟิศซินโดรมได้แค่ไหนบ้าง

โบท็อกซ์ คอ บ่า ไหล่

โบท็อกซ์ คือ

โบท็อกซ์ คือ ชื่อทางการค้าของยาชนิดหนึ่ง โบทูลินั่มท็อกซิน (Botulinum Toxin) โดยเป็นสารที่ถูกสกัดมาจากแบคทีเรียสายพันธุ์เฉพาะชื่อ Clostridium botulinum ซึ่งตัวของสารจะอยู่ในรูปแบบโปรตีน ที่มีคุณสมบัติพิเศษสามารถจับกับปลายของเส้นประสาทที่ใช้ในการควบคุมกล้ามเนื้อ แล้วเข้าไปยับยั้งการกระตุ้นกล้ามเนื้อที่เลี้ยงโดยเส้นประสาทบริเวณนั้น จะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้น ที่ได้ทำการฉีดโบท็อก ไม่สามารถหดตัว และอยู่ในสภาพคลายตัว โดยวงการเสริมความงามโบท็อกจะช่วยในเรื่องการลดเหงื่อ ลดริ้วรอย การปรับปรุงรูปหน้า รวมไปถึงช่วยในเรื่องผิวหนังที่หย่อนคล้อยให้เกิดความกระชับ แต่ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์

ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) คือ

ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) คือ กลุ่มอาการปวดของกล้ามเนื้อ หรืออาการชาจากการอักเสบของเนื้อเยื่อ และเอ็น ซึ่งมักมีสาเหตุมาจากการใช้กล้ามเนื้อมัดเดิม ๆ เป็นประจำ และต่อเนื่อง เช่น การนั่งไขว้ห้างเป็นเวลานาน การนั่งตัวงอ หรือการก้มหน้าเป็นเวลานาน เป็นต้น ส่งผลให้กล้ามเนื้อเกิดการอักเสบ และมีอาการปวดเมื่อตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณหลัง  ไหล่ คอ บ่า ข้อมือ และแขน นอกจากนี้ความเครียด ความกดดัน และความวิตกกังวล ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดออฟฟิศซินโดรม ส่วนใหญ่อาการของออฟฟิศซินโดรมที่สามารถพบเห็น มักจะเป็นอาการปวดกล้ามเนื้อ มีอาการนิ้วล็อค เอ็นกล้ามเนื้อเกิดการอักเสบ อาการตาแห้ง อาการปวดตา อาการปวดหัว อาการปวดหลัง และการเกิดพังผืดตรงบริเวณข้อมือ โดยอาการออฟฟิศซินโดรมมักจะเกิดกับพนักงานออฟฟิศ ผู้ใช้แรงงาน หรือนักกีฬา

ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) เป็นคำที่ใช้ในภาษาไทย โดย Work-Related Musculoskeletal Disorder หรือเรียกย่อว่า WMSD และนี่คือคำที่ใกล้เคียง “ออฟฟิศซินโดรม” ของไทยที่สุด

โบท็อก คอ บ่า ไหล่ ช่วยเรื่องอะไร

อย่างที่ทราบ โบท็อก คอ บ่า ไหล่ เป็นการฉีดสาร โบทูลินั่มท็อกซิน (Botulinum Toxin) เข้าตรงบริเวณคอ บ่า ไหล่ โดยสารจะเข้าไปยับยั้งการทำงานของเส้นประสาท ที่คอยควบคุมการหดตัวของกล้ามเนื้อชั่วคราว ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นเกิดการคลายตัว และลดการหดเกร็ง ซึ่งจะช่วยในเรื่องการบรรเทาอาการปวดออฟฟิศซินโดรม ช่วยแก้ปัญหากล้ามเนื้อที่มีการหดตัวผิดปกติ ช่วยลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อที่ทำให้ไหล่แข็ง หรือไหล่ยืด นอกจากนี้ยังช่วยปรับทรงไหล่ให้มีความสวยงาม ช่วยลดขนาดของบ่าให้มีขนาดที่เล็กลง ทำให้คอมีความเรียวยาวขึ้น แก้ปัญหาเรื่องไหล่ห่อ ไหล่ติด และช่วยลดอาการปวดศีรษะจากความเครียด ที่มีสาเหตุมาจากกล้ามเนื้อบ่า หรือบริเวณส่วนบนของหลังที่ทำงานหนัก และเกิดการหดเกร็ง

โบท็อก คอ บ่า ไหล่ เหมาะกับใคร

ขั้นตอนการเตรียมตัวเพื่อฉีดโบท็อกซ์คอ บ่า ไหล่

อย่างที่ทราบการฉีดโบท็อกซ์ คอ บ่า ไหล่ เป็นการฉีดสารที่มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการทำงานของเส้นประสาท ที่ทำหน้าที่คอยควบคุมการหดตัวของกล้ามเนื้อชั่วคราว ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นเกิดการคลายตัว และลดการหดเกร็ง ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดผลข้างเคียงกับร่างกาย และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงกับความต้องการ ผู้ทำการฉีดโบท็อกซ์ควรมีการปฏิบัติตัว ดังนี้

  • ก่อนทำการฉีดโบท็อกซ์ผู้ทำการฉีดควรมีการเข้าพบแพทย์ เพื่อทำการปรึกษา ประเมินอาการ และต้องมีการตรวจร่างกายเพื่อเตรียมความพร้อม
  • ผู้ทำการฉีดควรมีการแจ้งประวัติสุขภาพ เช่น โรคประจำตัว อาการแพ้ยา หรือยาที่มีรับประทานเป็นประจำ กับแพทย์อย่างละเอียด
  • ห้ามรับประทานอาหารเสริม หรือวิตามิน ที่มีคุณสมบัติทำให้เลือดหยุดไหลยาก เช่น น้ำมันอิฟนิ่งพริมโรส น้ำมันปลา วิตามินE สารสกัดที่มาจากโสม ขิง กระเทียม และใบแปะก๊วย เป็นระยะเวลา 2 อาทิตย์ก่อนการฉีด
  • ห้ามรับประทานยาแก้ปวด ยาแอสไพริน และยากลุ่มต้านการอักเสบ NSAIDS เช่น Naproxen Ibruprofen เป็นระยะเวลา 2 อาทิตย์ก่อนการฉีด
  • ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภท เป็นระยะเวลา 1 – 2 วัน
  • ก่อนทำการฉีด  เพราะแอลกอฮอล์อาจทำให้เลือดเกิดการไหลเวียนดีขึ้น
  • และเพิ่มโอกาสการเกิดรอยช้ำ
  • หลีกเลี่ยงการนวด หรือการกดทับตรงบริเวณคอ บ่า ไหล่  เป็นระยะเวลา 7 วัน ก่อนทำการฉีด
  • หลีกเลี่ยงการแต่งหน้า หรือทาครีมตรงบริเวณคอ บ่า ไหล่   เพื่อให้แพทย์สามารถทำความสะอาดผิวได้อย่างเต็มที่ก่อนการฉีด
  • ผู้ที่จะทำการฉีดควรมีการสวมใส่เสื้อผ้าที่หลวม และสบาย เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าถึงบริเวณที่ทำการฉีด
  • ผู้ทำการฉีดควรพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายเกิดความผ่อนคลาย และลดความกังวล
  • ผู้ที่จะทำการฉีดโบท็อกต้องไม่เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง รวมถึงบุคคลที่ตั้งครรภ์ และต้องให้นมบุตร

ดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกซ์คอ บ่า ไหล่

หลังจากการฉีดโบท็อกซ์ ควรมีการดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี เพื่อให้ผลลัพธ์มีการคงอยู่ได้นานขึ้น และเพื่อประสิทธิภาพของผลลัพธ์ที่ดี  ซึ่งผู้ทำการฉีดควรปฏิบัติตัว ดังนี้

  • งดการนวด กด หรือสัมผัสตรงบริเวณที่ทำการฉีด เนื่องจากจะทำให้โบท็อกซ์เกิดการกระจายตัวไปตรงบริเวณที่ไม่ต้องการที่อาจส่งผลต่อผลลัพธ์
  • งดการนอนราบ หรือนอนคว่ำ รวมถึงการก้มหน้าต่ำกว่าอก 3 ซม เพื่อป้องกันการไหลเวียนของโบท็อกซ์ไปยังบริเวณที่ไม่ต้องการ
  • งดการประคบเย็น เนื่องจากอาจเป็นการขัดขวางการดูดสารเข้าเซลล์ประสาท
  • งดการยิงเลเซอร์ เช่น Ulthera หรือ Thermage เป็นระยะเวลา 14 วันหลังจากการฉีด
  • งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากแอลกอฮอล์จะกระตุ้นให้หลอดเลือดเกิดการขยายตัว
  • ส่งผลให้บริเวณที่ทำการฉีดเกิดการอักเสบ
  • งดการรับประทานอาหารรสจัด อาหารหมักดอง หรืออาหารที่มีสารกระตุ้นให้เส้นเลือดเกิดการขยายตัว ไม่ว่าจะเป็น ชา กาแฟ ช็อกโกแลต เป็นระยะเวลา 14 วัน
  • งดการออกกำลังที่หนัก เช่น การยกน้ำหนัก การวิ่ง หรือการเต้นแอโรบิก เป็นระยะเวลา 2 วัน
  • งดการสวมเสื้อผ้าที่รัดแน่นบริเวณรอบคอ หรือไหล่ เป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมง
  • งดการอบซาวน่า การอบตัว การอาบน้ำร้อนเป็นเวลานาน การใช้แผ่นประคบร้อน เป็นระยะเวลา 1 – 7 วัน
  • งดการก้มเงย การสะพายกระเป๋าหนัก การสะพายกระเป๋าข้างเดียง และการยกน้ำหนักเป็นประจำ
  • เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อตรงบริเวณคอ บ่า ไหล่เกิดการตึง หรือการเกร็งตัว
  • ควรมีการปรับท่าทางให้เหมาะสมสำหรับชีวิตประจำวัน ควรหลีกเลี่ยงการนั่งเป็นเวลานานเกิน 1 ชม โดยไม่เปลี่ยนท่านั่ง ืซึ่งควรลุกขึ้นยืดเส้นสายทุกชั่วโมง
  • ควรมีการดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อช่วยให้โบท็อกเกิดการกระจายตัวได้ดียิ่งขึ้น และช่วยให้เลือดมีการไหลเวียนได้สะดวก รวมถึงช่วยลดอาการบวม
  • ผู้ที่ทำการฉีดควรมีการฉีดโบท็อกซ์อย่างต่อเนื่อง แต่ควรอยู่ในระยะเวลาที่แพทย์กำหนด เพื่อความปลอดภัย และการรักษาการคงอยู่ของผลลัพธ์
  • ผู้ทำการฉีดควรมีการไปพบแพทย์ตามนัดหมาย เพื่อติดตามอาการ และการดูผลลัพธ์