อาการดื้อโบท็อกซ์ เป็นภาวะที่หลายคนอาจไม่รู้ว่ามีอยู่จริง และสามารถเกิดขึ้นได้กับผู้ที่ฉีดโบท็อกซ์เป็นประจำ เมื่อร่างกายเริ่มสร้างภูมิต้านทานต่อสารโบทูลินัมท็อกซิน ทำให้ผลลัพธ์หลังฉีดไม่เห็นผลเท่าเดิมหรืออยู่ได้ไม่นานเหมือนก่อน หลายคนเริ่มสงสัยว่าอาการแบบนี้ อันตรายไหม และสามารถตรวจได้หรือไม่ว่าตัวเองมีภาวะดื้อโบท็อกซ์แล้วหรือยัง
อาการดื้อโบท็อกซ์
- อาการดื้อโบท็อกซ์ คือ
- อาการดื้อโบท็อกซ์ เกิดจาก
- การดื้อโบท็อกซ์ ส่งผลอะไรบ้าง
- วิธีตรวจภาวะดื้อโบท็อกซ์
- วิธีแก้ไขและป้องกันอาการดื้อโบท็อกซ์
- อาการดื้อโบท็อกซ์ รักษาได้ไหม
อาการดื้อโบท็อกซ์ คือ
อาการดื้อโบท็อกซ์ (Botox Resistance) คือ ภาวะที่ร่างกายของผู้ที่ทำการฉีดโบท็อกซ์ แล้วร่างกายไม่ตอบสนองต่อสารโบทูลินัมท็อกซิน (Botulinum Toxin Type A) เต็มที่ หรืออาจไม่มีการตอบสนองเลย ส่งผลให้ผลลัพธ์ทางด้านการรักษาได้ผลไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
โดยอาการดื้อโบท็อกซ์จะเกิดขึ้นมาจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ที่ร่างกายมีการมองว่าโมเลกุลของโบทูลินัมท็อกซินเป็นสิ่งแปลกปลอม ร่างกายจึงมีการสร้างแอนติบอดี้ลบล้างฤทธิ์ขึ้นมาเพื่อต่อต้าน และทำลายตัวยา ส่งผลให้ตัวยาไม่สามารถจับตัวกับปลายประสาทเพื่อทำการยับยั้งการหลั่งของสารสื่อประสาท และลดการทำงานของกล้ามเนื้อได้

อาการดื้อโบท็อกซ์ เกิดจาก
อย่างที่ทราบ โบท็อกซ์ตัวยาจะอยู่ในรูปแบบของโปรตีน ซึ่งเมื่อมีการฉีดสารเข้าสู่บริเวณกล้ามเนื้อ จะทำให้ร่างกายเกิดการกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการสร้างภูมิคุ้มขึ้นมา เพื่อทำการต่อต้าน และทำลายตัวยา ทำให้ตัวยาไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะดื้อโบท็อกซ์ มีดังนี้
- การฉีดโบท็อกซ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน คุณภาพต่ำ หรือไม่ได้ผ่านการรับรองจากหน่วยงานที่รับผิดชอบ ถือว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่อาจทำให้เกิดอาการดื้อโบท็อกซ์ เนื่องจากโบท็อกซ์กำลังเป็นที่นิยมในวงการความงาม จึงทำให้เกิดการนำเข้าโบท็อกซ์จากต่างประเทศโดยไม่มีการควบคุมตัวยา ส่งผลให้ตัวยาเกิดการเสื่อมสภาพ หรืออาจทำให้เกิดการปนเปื้อน
- การฉีดโบท็อกซ์บ่อยเกินไป โดยปกติการฉีดโบท็อกซ์จะต้องมีการเว้นระยะห่างสำหรับการฉีดอย่างน้อย 3 – 4 เดือน ซึ่งหากมีการฉีดถี่มากเกินไป จะทำให้ร่างกายเกิดการกระตุ้นให้สร้างภูมิคุ้มกันเพื่อทำการต่อต้าน และทำลายตัวยา ส่งผลให้หลังจากการฉีดไม่เกิดผล หรือไม่เห็นถึงความเปลี่ยนแปลง
- การฉีดโบท็อกซ์ในปริมาณที่มากเกินไป สำหรับการฉีดโบท็อกซ์ไม่ควรฉีดเกิน 300 ยูนิต / ครั้ง หากมีการฉีดในปริมาณที่มากจะทำให้สารเกิดการตกค้างในร่างกาย ส่งผลให้เกิดอาการดื้อโบท็อกซ์ เนื่องจากร่างกายจะมีการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเพื่อต่อต้านสารที่ตกค้างในร่างกาย
- การตอบสนองของภูมิคุ้มกันที่ไวเกิน สำหรับผู้ทำการฉีดบางรายอาจมีปัจจัยทางพันธุกรรม ที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันไวต่อการสร้างแอนติบอดี้ต่อโบทูลินัมท็อกซินได้ง่ายกว่าบุคคลอื่น และสำหรับบางกรณีอาจจะมีระบบเผาผลาญ และการกำจัดสารโบท็อกซ์ออกจากร่างกายได้เร็วกว่าปกติ

การดื้อโบท็อกซ์ ส่งผลอะไรบ้าง
การดื้อโบท็อกซ์ เป็นภาวะที่ร่างกายมีการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาเพื่อต่อต้าน และทำลายสารที่มีการฉีดเข้าสู่ร่างกาย โดยร่างกายจะมองว่าโบท็อกซ์เป็นสิ่งแปลกปลอม ส่งผลให้ผลลัพธ์ที่ออกมาไม่เป็นไปตามที่ต้องการ หรืออาจไม่เห็นผลเลย อาการดื้อโบท็อกซ์ไม่ได้เป็นอันตรายต่อชีวิต แต่อาจส่งผลกระทบในด้านอื่น เช่น ด้านการรักษา และความงาม โดยปกติหลังจากการฉีดโบท็อกซ์ ผลลัพธ์จะอยู่ได้ประมาณ 6 – 8 เดือน แต่เมื่อร่างกายเกิดการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา จะทำให้การคงอยู่ของผลลัพธ์สั้นลง อาจจะอยู่ได้ประมาณ 4 – 6 เดือน หรืออาจจะมีอายุที่น้อยกว่านั้นนอกจากนี้ ด้านการรักษา สำหรับผู้ป่วยที่มีความจำเป็นในการใช้โบท็อกซ์รักษาโรค เช่น ผู้ที่มีภาวะกล้ามเนื้อเกร็งกระตุก ปวดหัวไมเกรนเรื้อรัง และภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ การเกิดอาการดื้อโบท็อกซ์จะทำให้การรักษาโรคเหล่านี้ไม่ได้ผล
วิธีตรวจภาวะดื้อโบท็อกซ์
การดื้อโบท็อกซ์ สามารถสังเกตได้จากการเปลี่ยนแปลงของผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นหลังจากการฉีด โดยจะแบ่งระดับความรุนแรงออกเป็น 3 ระดับ ดังนี้
ระดับที่ 1 ประสิทธิภาพลดลง กรณีที่มีการใช้ปริมาณสำหรับการฉีดเท่าเดิม แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับลดลง หรือไม่เห็นผลเลย เช่น ริ้วรอยลดน้อยลงกว่าครั้งอื่น หรือกล้ามเนื้อกรามมีขนาดลดลงไม่เท่าเดิม รวมถึงการคงอยู่ของผลลัพธ์ที่สั้นลง จากปกติอยู่ได้ 4 – 8 เดือน อาจจะอยู่ได้เพียง 1 – 3 เดือน ส่งผลให้ต้องมีการฉีดบ่อยขึ้น
ระดับที่ 2 การเพิ่มปริมาณยา หากเกิดภาวะดื้อโบท็อกซ์ อาจต้องมีการใช้ปริมาณยาที่มากกว่าปกติ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เท่ากับการฉีดครั้งก่อน แต่วิธีการนี้ไม่ยั่งยืน และอาจเสียเวลาเปล่า เนื่องจากต่อให้ใช้ตัวยาจำนวนมาก อาจไม่เห็นผล
ระดับที่ 3 การไม่ตอบสนองต่อตัวยา ถึงแม้จะมีการเพิ่มปริมาณตัวยา แต่ก็อาจไม่เห็นผลถึงการเปลี่ยนแปลง เช่นริ้วรอยไม่มีความจางลง หรือกล้ามเนื้อไม่เกิดการคลายตัว รวมถึงกรณีรุนแรงอาจจะดื้อโบท็อกซ์ทุกยี่ห้อ ส่งผลให้ไม่สามารถใช้โบท็อกซ์เพื่อการรักษาได้
วิธีแก้ไขและป้องกันอาการดื้อโบท็อกซ์
อาการดื้อโบท็อกซ์ ทำให้โบท็อกซ์ที่ฉีดเข้าสู่ร่างกายมีการทำงานได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้ผลลัพธ์ที่ออกมาไม่เป็นไปตามต้องการ และระยะเวลาการคงอยู่ของผลลัพธ์สั้นลง รวมถึงทำให้มีการเสียค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เหล่านี้ เรามีวิธีแก้ไขและป้องกันอาการดื้อโบท็อกซ์ ดังนี้
วิธีแก้ไขอาการดื้อโบท็อกซ์
- การเว้นระยะการฉีดโบท็อกซ์ หลังจากการฉีดแพทย์จะแนะนำให้เว้นระยะการฉีดอย่างน้อย 6 – 12 เดือน เพื่อให้ร่างกายได้มีการพักจากการรับสารโบทูลินัมท็อกซิน และเพื่อให้ภูมิคุ้มกันที่ต่อต้านตัวยาลดลง แต่สำหรับบางกรณีอาจจะต้องมีการพักที่นานกว่านั้น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นเมื่อมีการฉีดใหม่
- การเปลี่ยนยี่ห้อโบท็อกซ์ โดยแต่ละยี่ห้อมีโครงสร้างโปรตีนที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นการเปลี่ยนไปฉีดโบท็อกซ์ยี่ห้ออื่น โดยเฉพาะยี่ห้อที่โบท็อกซ์มีความบริสุทธิ์สูง จะช่วยลดโอกาสการดื้อโบท็อกซ์ และช่วยเพิ่มการตอบสนองของกล้ามเนื้อในชั้นผิวได้ดีขึ้น แต่การเปลี่ยนยี่ห้อก็ไม่สามารถแก้อาการดื้อโบท็อกซ์ได้ 100%
- การใช้หัตถการอื่นร่วมด้วย เช่น การฉีดฟิลเลอร์ การทำ HIFU เลเซอร์ และThermage FLX เพื่อช่วยลดปริมาณตัวยาที่ต้องใช้ และเพื่อช่วยยกกระชับกล้ามเนื้อในช่วงเวลาที่พักการฉีดโบท็อกซ์
วิธีป้องกันอาการดื้อโบท็อกซ์
- การฉีดโบท็อกซ์ที่เป็นของแท้ และได้รับการรับรองมาตรฐานจาก อย.ไทย หลีกเลี่ยงการฉีดโบท็อกซ์ปลอม หรือโบท็อกซ์ที่หิ้วมาจากต่างประเทศ ไม่ได้ผ่านการควบคุมอุณหภูมิ และมีการเก็บรักษาไม่ถูกวิธี ส่งผลให้ตัวยาไม่ได้มาตรฐานอาจเกิดการปนเปื้อน ซึ่งจะกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการสร้างภูมิคุ้มกันได้ง่าย นอกจากนี้ควรเลือกฉีดกับคลินิกที่มีความน่าเชื่อ
- การฉีดโบท็อกซ์ในปริมาณที่เหมาะสม โดยปกติการฉีดโบท็อกซ์ไม่ควรเกิน 300 ยูนิต/ครั้ง เพราะการฉีดในปริมาณที่มากเกินความจำเป็น จะกระตุ้นให้เกิดการสร้างแอนติบอดี้
- การฉีดโบท็อกซ์กับแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะการฉีดโบท็อกซ์ เนื่องจากต้องมีการประเมินอาการ ปริมาณตัวยาที่ใช้ ตำแหน่งที่ฉีด เทคนิคการฉีด และความถี่ในการฉีด เพื่อให้โบท็อกซ์มีการออกฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยลดโอกาสการเกิดอาการดื้อโบท็อกซ์
- การดูแลตัวเองหลังจากการฉีด ควรมีการดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัด จะช่วยให้โบท็อกซ์มีการออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่ และนานขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความถี่ในการฉีดซ้ำ

อาการดื้อโบท็อกซ์ รักษาได้ไหม
อาการดื้อโบท็อกซ์ยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายได้แบบ 100 % เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายมีการสร้างภูมิต้านทานขึ้นมา เพื่อต่อต้านตัวยา หรือทำลายตัวโบท็อกซ์ แต่เราสามารถเว้นระยะการฉีด เพื่อให้ร่างกายได้มีการพักจากการรับสารโบทูลินัมท็อกซิน และเพื่อให้ภูมิคุ้มกันที่ต่อต้านตัวยาลดลง เป็นเวลา 6 – 12 เดือน ซึ่งบางกรณีอาจจะมีการพักนานถึง 3 – 5 ปี โดยระหว่างการพักเราสามารถทำหัตถการอื่นได้ เช่น การเลเซอร์ การฉีดฟิลเลอร์ การทำ HIFU หรือการทำทรีตเม้นต์





